จับตาเกมหุ้น CV เพิ่มทุนเกินตัว หรือ ลับลวงพรางเข้าตลาดทางอ้อม?

22 ส.ค. 2566 | 23:16 น.
อัพเดตล่าสุด :23 ส.ค. 2566 | 06:22 น.

จับตาเกมหุ้น CV เพิ่มทุนเกินตัว หรือ ลับลวงพรางเข้าตลาดทางอ้อม? คอลัมน์เมาธ์ทุกอำเภอ โดย...เจ๊เมาธ์

*** ข่าวการเพิ่มทุนของ บริษัท โคลเวอร์ เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ CV บริษัทผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน ธุรกิจด้านวิศวกรรม และธุรกิจอื่นที่สนับสนุน หรือเกี่ยวเนื่องด้านพลังงานแบบครบวงจร ที่รวมเอาผู้ถือหุ้นระดับนามสกุลดัง “ศักดิ์สิทธิเสรีกุล, เลิศเรืองศุภกุล,ชาญวีรกูล, จุฬางกูร, จึงรุ่งเรืองกิจ” เข้าตลาดฯ มาได้ 2 ปี นับตั้งแต่วันที่ 2 ก.ย. 64 ด้วยราคาจองซื้อ 3.90 บาท/หุ้น จนถึงวันนี้ราคาหุ้นของ CV มีแต่สาละวันเตี้ยลง จนแทบหานักลงทุนผู้รอดจากการเสียหายแทบไม่ได้ 

เพราะราคา ลดลงมาแบบขาเดียว เหลือเพียง 1.20-1.30 บาท ร่วงลงกว่า 70% 

ล่าสุด CV เล่นเกมใหม่ ท่าแปลกโดยการเพิ่มทุนครั้งใหญ่ในจำนวน 3,840 ล้านหุ้น มากกว่าทุนเดิมถึง 3 เท่า จากหุ้นจดทะเบียนเดิมที่มีอยู่ 1280 ล้านหุ้น ที่ราคาพาร์ 0.50 บาท 

ส่วนราคาที่เพิ่มทุนคือ 1 บาท หรือ ต่ำกว่า book value ที่ 1.45 บาท ถึง 45%

งานนี้ ดูเหมือนว่า อาจมีพฤติกรรมแปลกๆ หรือไม่ น่าชวนติดตามอย่างยิ่ง เช่น

1. การขายหุ้นเพิ่มทุนทั้งในแบบ RO (ขายให้ผู้ถือหุ้นเดิม ในอัตราส่วน 1 หุ้นเดิมต่อ 2 หุ้นใหม่) ที่ราคาหุ้นละ 1.00 บาท และในแบบเฉพาะเจาะจง (PP) โดยที่ยังไม่ได้ระบุตัวบุคคล โดยที่ไม่ระบุราคาขาย รวมจำนวน 2,560 ล้านหุ้น และการออกหุ้นเพิ่มทุนจำนวน 1,280 ล้านหุ้น รองรับการออกวอร์แรนต์ครั้งที่ 1 (CV–W1) 

จุดที่น่าสังเกตก็คือ ประเด็นเรื่องการขายหุ้นแบบ PP แบบที่ไม่กำหนดราคาขาย ในกรณีที่ผู้ถือหุ้นเดิมไม่เพิ่มทุนครบตามจำนวนหุ้น RO ที่ตั้งเอาไว้ครบตามจำนวน และถ้าไม่ผิดแผน รวมแล้วน่าจะทำให้มีเงินไหลเข้ามาที่ CV ในจำนวนราวๆ 3,840 ล้านบาท ซึ่งกรณีของการเพิ่มทุนด้วยจำนวนเงินที่มากกว่าทุนจดทะเบียนถึง 3 เท่าขนาดนี้ ดูเหมือนจะมากพอที่จะทำให้กลุ่มผู้ซื้อหุ้นแบบ PP ที่ยังไม่เปิดเผยรายชื่อเหล่านี้ จะมีสัดส่วนการถือหุ้นมากเกินพอที่จะควบคุมทิศทางการดำเนินธุรกิจในอนาคตของ CV ได้อย่างเบ็ดเสร็จ...

ดูท่าทางแล้วอาจจะเข้าข่ายของการทำการเข้าจดทะเบียนกับตลาดหลักทรัพย์โดยอ้อม (Back-door Listing) เลยด้วยซ้ำทีเดียว 

2. การใช้เงินที่จะได้จากการเพิ่มทุนจำนวน 3,840 ล้านบาท ซึ่งเงินจำนวนนี้จะถูกใช้ไปในการซื้อหุ้นของ บริษัท เวสท์เทค เอ็กซ์โพเนนเชียล จำกัด (WTX) ซึ่งเป็นบริษัทที่ทำธุรกิจจัดการซากผลิตภัณฑ์ที่หมดอายุการใช้งาน (Dismantle Recycling) รวมทั้งการแปรรูปเป็นเชื้อเพลิงแข็ง (Solid recovered fuel : SRF) และธุรกิจการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน ในสัดส่วน 20% รวมจำนวน 1,040 ล้านบาท โดยที่ทาง บริษัท เวสท์เทคฯ มีบริษัท มิลล์คอน สตีล จำกัด (มหาชน) หรือ MILL ถือหุ้นใหญ่ในสัดส่วน 65.71% 

*** ขณะที่ MILL มี นายสิทธิชัย ลีสวัสดิ์ตระกูล เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ และมี นายสุระ คณิตทวีกุล รวมถึง นพ.พงศ์ศักดิ์ ธรรมธัชอารี เป็นผู้ถือหุ้นในอันดับรองลงมา ส่วนเงินอีก 500 ล้านบาท ใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน และเงินอีก 500 ล้านบาท จะถูกนำไปชำระหนี้ 

เงินส่วนที่เหลืออีกราว 1,800 ล้านบาท จะถูกนำไปใช้เพื่อวัตถุประสงค์อื่นที่ยังไม่ได้กำหนดภารกิจที่ชัดเจนว่าจะทำอะไรแน่…

นี่ยังไม่นับถึงเรื่องความคุ้มค่าของโครงการ บริษัท เวสท์เทค เอ็กซ์โพเนนเชียล จำกัด (WTX) ว่า แพงเกินจริงไม๊ ?

และผู้ถือหุ้น MILL หรือเครือข่ายจะเข้ามาเพิ่มทุน CV แทนผู้ถือ CV ที่อาจสละสิทธิ์เพิ่มทุนหรือไม่?

3. เรื่องท้ายสุดก็เป็นเรื่องของการแต่งตั้ง คนดังจากหุ้น OTO 5 floor อย่าง “บัณฑิต สะเพียรชัย” ขึ้นมานั่งเป็นกรรมการคนใหม่ของบริษัท มาต่อยอดธุรกิจของ CV 

ที่เจ๊เมาธ์ไล่เรียงมาทั้งหมดก็เพื่อปูพื้นเพื่อให้ตั้งข้อสังเกตว่า การเพิ่มทุนและการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างผู้ถือหุ้นของ CV ในรอบนี้มีลับลมคมในหรือไม่?

เอาเปรียบผู้ถือหุ้นรายย่อย CV หรือไม่? เป็นการหลบหลีกกฏระเบียบของ ก.ล.ต และ ตลท. หรือ ไม่? 

กฎที่อาจเข้าข่ายผิด ก็มีทั้ง การ Backdoor Listing และ การหลีกเลี่ยง Tender Offer ที่อาจจะเกิดขึ้น… 

และหากผู้ถือหุ้นปัจจุบันของ CV เช่น เศรษฐศิริ ศักดิ์สิทธิเสรีกุล ซึ่งเป็นทั้งผู้ถือหุ้นใหญ่ 28% และ น.ส.นิลทิตา เลิศเรืองศุภกุล 14% ผู้เป็นทั้งกรรมการบริษัทและผู้บริหาร ทำตัวเป็นผู้ออกมติเพิ่มทุนเอง แต่สุดท้ายหากสละสิทธิ์ไม่เพิ่มทุน จะถือเป็นการเอื้อประโชน์ให้บุคคลอื่น Backdoor หรือ เอาเปรียบผู้ถือหุ้นรายย่อยหรือไม่??

แปลความคือ หากประกาศเพิ่มทุนเอง กว่า 3 เท่าของหุ้นปัจจุบัน ในราคาต่ำกว่ามูลค่า Book Value 45 % แต่ไม่เพิ่มทุน หรือ เพิ่มทุนไม่ครบคงเป็นสิ่งที่น่าเคลือบแคลงใจ ใช่ไม๊คะ? ฝาก ตลท. และ ก.ล.ต ตรวจสอบหน่อย… 

ก็หวังเพียง บริษัทจดทะเบียนทั้งหลาย จะทำอะไรก็ต้องทำตามกฎ ทำตามเกณท์ และ ทำให้เป็นธรรม… 

ส่วน ก.ล.ต และ ตลท. ก็ควรเปิดเนตร และติดตามตรวจสอบให้มีประสิทธิภาพนะเจ้าคะ

เกมนี้ หาก เศรษฐศิริ ศักดิ์สิทธิเสรีกุล ซึ่งเป็นทั้งผู้ถือหุ้นใหญ่ และ น.ส.นิลทิตา เลิศเรืองศุภกุล เพิ่มทุนตามสิทธิ์ และซื้อ บริษัท เวสท์เทค เอ็กซ์โพเนนเชียล จำกัด (WTX) ในราคาที่เหมาะสม แบบตรงไปตรงมา เรื่องก็จบ… แค่เตือนนะเจ้าคะ

เกมซับซ้อน… คนซับซ้อน… คิดซับซ้อนแบบนี้ คงมีแต่พวกศีลเสมอกันถึงเข้าใจกันได้จริงๆ 

สาธุ