*** ข่าวการแจกปันผลระหว่างกาล 2.25 บาทต่อหุ้น ภายหลังปิดดีลขายหุ้น 3BB-JASIF มูลค่ารวม 32,420 ล้านบาท ภายในไตรมาสที่ 3-4 ทำให้ในที่สุดเจ๊เมาธ์ก็ได้มาถึงบางอ้อ...ว่าทำไมราคาหุ้น JAS ของ เสี่ยพิชญ์ โพธารามิก ถึงได้ถูกไล่ราคาขึ้นในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมา ทั้งที่ถูกแขวนป้าย C จนทำให้ต้องซื้อขายหุ้นด้วยเงินสด หรือ บัญชีแคชบาลานซ์มาตั้งแต่เดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา
ส่วนหนึ่งก็ต้องยอมรับด้วยเงินปันผล ที่มีมูลค่าสูงกว่าราคาหุ้นหน้ากระดาน ทำให้ไม่ใช่เรื่องแปลกที่ราคาหุ้นของ JAS จะถูกไล่ราคาขึ้นมาตั้งแต่ราคาหุ้นอยู่ที่บาทกว่าๆ ขณะที่อีกส่วนก็ต้องบอกเอาไว้ด้วยว่า การปรับราคาขึ้นมาครั้งนี้ ก็เป็นเพียงการรีบาวด์แบบกลวงๆ เนื่องมาจากยังไม่มีใครออกมารับรองได้ว่า จะมีการจ่ายเงินปันผลที่ว่านี้ออกมาอย่างแน่นอน
ขณะเดียวกัน หากมีการจ่ายปันผลในอัตรา 2.25 บาท/หุ้น ซึ่งมีมูลค่าสูงกว่าราคาหุ้นหน้ากระดาน ก็ไม่รู้ว่าหลังจากนั้น JAS จะถูก “ถีบหัวส่ง” จากนักลงทุนรายอื่นหรือแม้แต่ “เสี่ยพิชญ์” ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ ทั้งในทางตรงและทางอ้อมหรือไม่ ถึงวันนั้นแหล่งรายได้ไม่มีเหลือ เพราะถูกขายกินหมดไปแล้ว เงินสดที่ได้จากการขายสินทรัพย์ก็ไม่มีเหลือ เพราะถูกแจกไปหมดจนเหลือแต่บริษัทกลวงๆ เพราะหลังการจ่ายปันผลบริษัทที่เคยยิ่งใหญ่อย่าง JAS ที่ในตอนนั้นแทบจะเหลือเพียงแค่ชื่อและตำนาน เพราะไม่รู้ว่าราคาหุ้นจะเหลืออยู่ที่ราคาเท่าไหร่นั่นเอง
*** แม้ว่าจะยังตั้ง ครม.ไม่เสร็จ แต่นโยบายกระตุ้นการท่องเที่ยวที่ระบุว่าอาจจะมีการ “ฟรีวีซ่า” ให้กับนักท่องเที่ยวชาวจีน และ อินเดีย ก็ทำให้หุ้นสายการบินอย่าง AAV และ BA ต่างก็ขยับตัวอย่างคึกคัก จะเสียดายอยู่บ้างก็แค่ THAI ซึ่งอยู่ในช่วงระงับการซื้อ เพราะอยู่ในแผนฟื้นฟูไม่ได้มีโอกาสที่จะมาเล่นข่าว เล่นราคากับเค้าด้วย
อย่างไรก็ตาม เจ๊เมาธ์ได้ข่าวมาว่าพัฒนาการของ THAI หลังจากที่เข้าแผนฟื้นฟูเป็นไปได้ด้วยดี ถึงตอนนี้รายได้ครึ่งปีปาเข้าไปแล้ว 8.28 หมื่นล้านบาท กำไรมีอยู่ถึง 1.47 หมื่นล้านบาท ซึ่งด้วยรายได้และกำไรขนาดนี้ ทำให้มีความเป็นไปได้มากที่ THAI อาจจะได้ออกจากแผนฯ ก่อนระยะเวลา 7 ปี ก็เป็นได้
ส่วนทางด้านของ BA แม้ว่าครึ่งปีที่ผ่านมา ก็ไม่ถือว่าน้อยหน้าใคร เนื่องจากทั้งรายได้ และ กำไร สามารถยืนอยู่ในแดนบวกได้อย่างแข็งแกร่ง ในขณะที่ราคาหุ้นเองก็อยู่ในจุดที่ดีที่สุดในรอบหลายปีด้วยเช่นกัน
ขณะที่ในส่วนของ AAV กลับดูเหมือนว่าจะแตกต่างออกไป เนื่องจากยังอยู่ในโซนของการขาดทุน เพียงแต่จะดีอยู่บ้าง ก็ตรงที่ขาดทุนน้อยลง และมีสัญญาณว่าอาจจะกลับมาทำกำไรได้ในช่วงปลายปี
เอาเป็นว่าถ้าไม่คิดอะไรมาก เจ๊เมาธ์ก็ยังคงมองว่า หุ้นสายการบินยังน่าสนใจ ในส่วนของ BA แม้ว่าราคาหุ้นจะขยับขึ้นมามากแล้ว แต่ก็ยังดูดี ขณะที่ทางด้านของ AAV ก็พอจะมองได้ว่าเป็นการซื้อโอกาส แต่ในทางกลับกันในฝั่งของ THAI ก็ทำได้แค่รอเท่านั้นเองค่ะ
*** แม้ว่าการประกวด Miss Universe Thailand ซึ่งตอนนี้มี JKN ของ “แอน จักรพงษ์ จักราจุฑาธิบดิ์” เป็นผู้ถือลิขสิทธิ์อยู่จะได้นางงามเจ้าของมงกุฎประจำปีไปแล้ว แต่ราคาหุ้นของ JKN กลับยังวนเวียนอยู่ที่เดิม ...ไม่ตอบสนองกับงานประกวดที่จะลงไปแล้วอย่างที่หลายคนคาดหวังเอาไว้
แน่นอน อย่างหนึ่งก็คงจะต้องรอดูงานประกวดของเวทีใหญ่ รวมไปถึงรายได้ที่มาจากค่าลิขสิทธิ์ของเวทีประกวด Miss Universe ในประเทศอื่น รวมไปก่อนถึงจะได้รู้ว่าเงินที่ได้จ่ายไปคุ้มค่ากับกำไรกลับมาจริงหรือไม่ แต่สำหรับตอนนี้ถ้าไปดูตัวเลขแม้ว่าอาจจะยังไม่ค่อยดีนัก คงต้องให้โอกาส โน้น ...ปลายปีนี้ หรือ อาจจะต้องรอดูกันถึงปีหน้าไปโน้นเลย ถึงจะได้รู้ หรือถ้าปีสองปีนี้ยังไม่รู้ก็รอต่อไปเรื่อยๆ ไม่ต้องรีบ ก็เจ๊แอนเค้าบอกว่าดีแน่นอนนี่นา อิอิอิ
*** การเพิ่มทุนแบบเกินตัวของ CV เริ่มมีสื่อหลายสำนักรวมไปถึงเจ๊เมาธ์เอง ก็ได้นำเสนอข้อมูลออกมาให้สาธารณะได้รับรู้อย่างหลากหลายแง่มุม แต่สิ่งที่ต่างก็เห็นตรงกัน นั่นก็คือ การเพิ่มทุนที่ว่านี้ ดูเหมือนจะคาบเส้นอยู่ระหว่างการเพิ่มทุนปกติ และการทำ Backdoor Listing ซึ่งหาก “เศรษฐศิริ ศักดิ์สิทธิเสรีกุล” ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ ในสัดส่วน 28% รวมไปถึง “นิลทิตา เลิศเรืองศุภกุล” ซึ่งถือหุ้นอยู่ 14% ยังคงมีสัดส่วนการถือหุ้นใกล้เคียงกับตัวเลขเดิมภายหลังการเพิ่มทุน ก็อาจจะดูแล้วไม่มีปัญหาให้ต้องคิด แต่ประเด็นคือ การที่ดูเหมือนว่าหลายอย่าง ยังคงเป็นความลับที่ไม่กล้าเปิดเผย มันชวนให้สงสัยว่าความจริงคืออะไรกันแน่ที่ซ่อนและซ้อนอยู่
แต่ก็นั่นหละ เจ๊เมาธ์รวมไปถึงสื่อสำนักอื่นๆ ก็คงทำได้แค่ส่งสัญญาณให้รู้ เพราะถึงแม้จะส่งสัญญาณไปมาก หรือ ชัดเจนแค่ไหน แต่ถ้าหากผู้ดูแลเค้าไม่หือไม่อือด้วย ก็คงจะไม่มีอะไรเกิดขึ้น เรื่องมันก็เท่านั้นเองเจ้าค่ะ
หน้า 13 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 43 ฉบับที่ 3,918 วันที่ 31 สิงหาคม - 2 กันยายน พ.ศ. 2566