เมื่อ 2-3 วันก่อนมีคนกดออดเข้ามาพบผมที่บ้านแล้วเล่าว่าเป็นแฟนคลับและสมาชิกการลงทุนในไลน์และคุยกับผมมาตลอดเกือบทุกวัน ที่มาก็เพื่อที่จะมาพบ “ตัวจริง ๆ” เพื่อ “เติมเต็มความมั่นใจ” ว่า จะยอมจ่ายเงิน “ค่าปรับ” ให้กับหน่วยงานตลาดหุ้นของฮ่องกงจำนวนประมาณ 2 ล้านบาท เพื่อที่จะสามารถถอนเงินจากพอร์ตหุ้นตลาดฮ่องกงของตนเองที่ตอนนี้เพิ่มขึ้นมามหาศาลจากเงินต้นที่ทยอยลงไปรวมกันประมาณ 5 ล้านบาท กลายเป็นประมาณ 300 ล้านบาทเข้าไปแล้ว
เธอหรือต่อไปนี้จะเรียกว่าคุณดาว เล่าว่า ได้เข้าร่วมกลุ่มไลน์แนะนำการลงทุนของ “ดร.นิเวศน์” ซึ่งปัจจุบันที่เห็นก็มีสมาชิกประมาณ 40-50 คน ลดลงจากอดีตบ้าง โดยที่เธอเข้าไปลงทุนผ่าน “แอ็ปของกลุ่ม” ซึ่งจะนำเงินไปลงทุนในตลาดฮ่องกง โดยได้รับการแนะนำจากดร.และผู้ช่วยตลอดเวลาในการเลือกหุ้นซึ่งจะมีหุ้นใหม่ ๆ แทบจะ “วันละตัว” รวมถึงการใช้เครื่องมือการเงินที่ซับซ้อนอย่างเรื่อง “เลเวอเรจ” ที่จะทำให้กำไรมหาศาลเป็นต้น
ดาวเริ่มลงทุนโดยการทยอยขายสลากออมสินและสลากธกส. ที่เคยได้รับผลตอบแทนที่ดีในอดีตที่เธออาจจะยัง “ไม่มีความรู้เกี่ยวกับการลงทุน” และเป็นช่วงที่ยังทำงานประจำ แต่ตอนนี้เธอเกษียณแล้ว จึงถึงเวลาที่จะต้องลงทุนเพื่อเก็บเงินใว้ใช้ในบั้นปลายของชีวิต นอกจากสลากแล้ว เธอก็จำนำทองแท่งที่เคยซื้อเก็บไว้เพื่อนำเงินมาลงทุนในหุ้นฮ่องกงด้วย ทั้งหมดนั้นรวมแล้วน่าจะประมาณ 5 ล้านบาท
ดาวไม่เคยถอนเงินลงทุนเลย เหตุผลก็เพราะว่า “กำไรที่เห็น” จากรายงานที่ได้รับนั้น มันมหาศาลมากและดาวก็ไม่มีความจำเป็นต้องใช้เงิน เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ ดร.แนะนำว่าต้องปล่อยให้เงินทบต้นไปเรื่อย ๆ แล้วก็จะรวย จนมาถึงวันหนึ่ง ดาวอาจจะเริ่มไม่สบายใจและอาจจะอยากถอนเงินบางส่วน ก็เกิดประเด็นขึ้นว่าผู้คุมกฎของฮ่องกงตรวจสอบพบความไม่ชอบมาพากลของการเทรดหุ้นคุณดาว ซึ่งอาจเป็นการปั่นหุ้น จึงตั้งค่าปรับจำนวนประมาณ 2 ล้านบาทไทย ก่อนที่จะยอมปล่อยหุ้นหรือเงินที่อยู่ในพอร์ต และนั่นก็นำมาสู่การอยากเจอดร.นิเวศน์ และก็เกิดอาการ “ช็อก” ว่าผมไม่ได้รู้เรื่องอะไรด้วยเลย คนที่ดาวคุยมาตลอดนั้นไม่รู้ว่าเป็นใคร
ประวัติคุณดาวแบบคร่าว ๆ ที่ผมคุยด้วยสั้นๆ นั้น ก็คือ อายุเท่าๆ กับผมคือ 70 ปีแล้ว แต่ก็ยังดูแข็งแรงมาก เพิ่งจะเกษียณจากงานพยาบาลไม่กี่เดือน เคยทำงานพยาบาลทั้งในโรงพยาบาลรัฐและเอกชนชื่อดังหลายแห่งรวมถึงที่อยู่ใกล้บ้านผมด้วย ตอนเป็นเด็ก เกิดในครอบครัวที่มีลูกเยอะมากเพราะเป็นรุ่นเบบี้บูมเมอร์ ครอบครัวอยู่ต่างจังหวัดและยากจน แต่คุณดาวเป็นคนที่เรียนเก่งระดับ “เหรียญทอง” ของโรงเรียนและได้ทุนเรียนพยาบาลในสังกัดของรัฐจนจบปริญญาตรี
ดาวเป็น “นักสู้” ที่ทำงานหนักประหยัดอดออม และแม้ว่าจะเป็นคนที่ดูแลพ่อแม่เป็นหลัก ก็ยังมีเงินเหลือเก็บออมในรูปทรัพย์สินต่าง ๆ เช่นบ้าน อาคารพาณิชย์ให้เช่า ทอง และเงินฝากในรูปสลากของธนาคารของรัฐบาล คิดเป็นมูลค่ารวมน่าจะไม่ต่ำกว่า 10 ล้านบาท ส่วนหนึ่งอาจจะเป็นเพราะว่าดาวเป็นโสดไม่ได้แต่งงานซึ่งจำเป็นที่จะต้องเก็บออมและลงทุนเพื่อดูแลตนเองหลังเกษียณ
ดาวรู้จัก "ดร.นิเวศน์" ผ่านสื่อต่าง ๆ และเมื่อได้อ่านหนังสือเรื่อง “เด็กวัดดอน” ที่ “ดร.นิเวศน์” ส่งให้เมื่อเข้ามาร่วมในไลน์กลุ่มลงทุนเธอก็ “ปลื้มสุด ๆ” และคิดว่า “ชีวิตดาวเหมือนชีวิตดร.นิเวศน์” ถึงตอนนี้คุณดาวก็พร้อมที่จะรับคำแนะนำทุกอย่างจากอาจารย์และก็คงไม่สงสัยเลยว่าคนที่คุยด้วยเป็นประจำแต่ไม่เคยเจอตัวจริงนั้น เป็นสิบแปดมงกุฎ
หลังจากพบกับผมแล้ว คุณดาวก็ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรต่อไป พูดเข้าไปในกลุ่มก็เจอคนที่แก้ต่างให้ว่า ดร.จะเปิดเผยตัวตนไม่ได้ ยอมรับไม่ได้ว่าทำการเทรดหุ้นแบบนี้คือ “เทรดระดับสถาบัน” ต้องทำเป็นความลับ พูดง่าย ๆ เวลาพูดออกสื่อก็บอกว่าไม่มีไม่ทำ แต่จริง ๆ แล้วทำอย่างลับ ๆ พวกเราต้องเข้าใจ
ผมเองแนะนำว่า ให้แจ้งความตำรวจจับฐานหลอกลวงเลย แต่นั่นก็จะเป็นภาระที่ค่อนใหญ่สำหรับตัวคนเดียวที่จะต้องทำเรื่องหาหลักฐานมากมาย เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ เงินก็คงไม่ได้คืน นอกจากนั้นดาวรู้สึก “อายมาก” ถ้าเปิดเผยเรื่องออกมา นึกถึงพี่น้อง ญาติมิตร เพื่อนและคนรู้จัก คงจะมาสมน้ำหน้า ที่ยังโชคดีอยู่บ้างก็คือ ส่วนตัวคุณดาวก็ยังเหลือทรัพย์สินประมาณหนึ่งที่น่าจะเลี้ยงตนเองต่อไปได้ ว่าที่จริงก็ยังแข็งแร็งพอที่จะกลับไปทำงานได้ถ้าจำเป็น
เหตุการณ์นี้ทำให้ผมนึกถึงเรื่องที่ได้ฟังจากเพื่อนว่า แม้แต่อาจารย์มหาวิทยาลัยดังของรัฐ ก็ยังเคยถูกโกงจากการฝากเงินกับสหกรณ์ที่มีชื่อเสียงมากจนแทบหมดตัว หลังจากที่ตนเองเกษียณแล้ว เพราะเชื่อว่า จะต้องหาช่องทางการออมเงินที่ “ได้ดอกเบี้ยสูง” แต่ “ไม่เสี่ยง” โดยการหลงเชื่อคนที่เข้ามาชักชวนให้ลงทุนที่ได้ผลตอบแทนสูงกว่าที่ควรจะเป็น
เช่นเดียวกัน ญาติทางฝ่ายภรรยาผมคนหนึ่งก็เคยถูกหลอกให้เข้าร่วมเวบหรือ “ไลน์ดร.นิเวศน์” และสูญเสียเงินไปหลายแสนบาทจนต้องมาขอความช่วยเหลือภรรยาผม ผมเองก็ยังงงว่าทำไมตอนที่จะเข้าไปร่วมทำไมไม่ถามก่อนว่าผมมีไลน์แบบนั้นจริงไหมก่อนที่จะเข้าไปลงทุน
ปรากฎการณ์การโกงผ่านสื่อดิจิทัลนั้น ผมคิดว่ามีเพิ่มขึ้นมหาศาล เรียกว่าแทบจะดิสรัปช่องทางการโกงแบบอื่นได้เลยนั้น เป็นวิธีการโกงที่ได้ผลตอบแทนสูงมาก และผมคิดว่ามีความเสี่ยงที่จะถูกจับและลงโทษต่ำมาก อานิสงส์จากการที่ทางการไม่ตระหนักและตามไม่ทันพัฒนาการนี้ ซึ่งในทาง “ยีนศาสตร์” ที่ผมมักใช้ในการวิเคราะห์เรื่องราวต่าง ๆ มันจะบอกว่า คนก็จะโกงมากขึ้น เพราะทำแล้วคุ้ม หรือเรียกว่า Risk/ Reward ดีมาก
เฉพาะเว็บหรือไลน์ปลอมที่ใช้ชื่อผมนั้น ล่าสุดดูเหมือนว่าจะไม่น้อยกว่าหลายสิบแห่ง บางคนบอกว่ามีเป็นร้อย และแน่นอน ไม่ใช่ผมคนเดียวแต่มีนักลงทุนหรือคนที่อยู่ในแวดวงการลงทุนซึ่งรวมไปถึงเจ้าของหรือผู้บริหารบริษัทจดทะเบียนบางคนก็ถูกปลอมเพื่อหลอกให้คนเข้าไปลงทุนในหลักทรัพย์ ซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นหลักทรัพย์ปลอม หุ้นปลอม แพลทฟอร์มที่ใช้ซื้อขายหลักทรัพย์ปลอม ทุกอย่างปลอมหมด
แต่คนที่เข้าไปร่วมเป็นสมาชิกกลับไม่รู้ ส่วนสำคัญก็คือ ไม่เข้าใจเรื่องของตลาดทุนและตราสารต่าง ๆ เลย สนใจเพียงว่าจะหาผลตอบแทนที่ดีได้อย่างไร บางคนก็เกิดจากความโลภ แต่จำนวนมากนั้นแค่หวังจะให้มีเงินพอใช้หลังเกษียณ แต่พอเข้าไปซักพักก็อาจจะกลายเป็นความโลภ เพราะถูกหลอกด้วยตัวเลขที่ถูกปั้นแต่งขึ้น
ในช่วงแรกที่เริ่มมีการปลอมไลน์หรือเพจนั้น ผมเคยไปแจ้งความสถานีตำรวจเพื่อลงบันทึกประจำวันว่าผมไม่เกี่ยวและไม่เคยมีไลน์หรือเว็บสาธารณะ ผมเกรงว่าถ้ามีการจับไลน์ปลอมนั้น ผมอาจจะต้องเสียเวลาไปให้การเป็นพยานโดยที่ผมไม่ได้ทำอะไรเลย อยู่เฉย ๆ นั่นคือเมื่อ 1-2 ปีมาแล้ว ถึงวันนี้เว็บและไลน์ปลอมมีเป็นร้อย ผมเองก็ยังเหมือนเดิมคือไม่มีเว็บและไลน์ของตนเอง ผมเป็นคนโลว์เท็คและไม่ใช้เครื่องมือเหล่านั้นเพื่อติดต่อกับใคร และก็ไม่แจ้งตำรวจอีกต่อไปแล้วเพราะเสียเวลา
ผมประกาศที่ตรงนี้เลยว่าผมไม่มีเว็บหรือไลน์อะไรทั้งสิ้น ที่เห็นนั้นของปลอมหมด และไม่ต้องไปเชื่อว่าผมต้อง “ตีสองหน้า” ผมลงทุนมาหลายสิบปีและประสบความสำเร็จมีความมั่งคั่งสูงเกินกว่าที่จะมาทำเงินจากการแนะนำการลงทุนให้คนทั่วไปที่เข้ามาร่วมเป็นกลุ่มเพื่อหวังผลตอบแทนที่ผิดปกติและไม่จริง แน่นอนว่าผมยังให้ความรู้ดังเช่นที่ผมทำมาตลอดหลายสิบปี และเป็น คนหน้าเดิมและหน้าเดียว ไม่มีทางที่ผมจะเปลี่ยนหน้าเป็นอย่างอื่น
เขียนมาถึงตรงนี้ผมเองก็หวังว่า ถ้ามีการจับเว็บหรือไลน์ปลอมใช้ชื่อผม ทางตำรวจจะไม่มาถามอะไรผมเลย เพราะผมไม่เกี่ยว ผมควรจะอยู่ได้อย่างสงบตามที่ควรจะเป็น และนี่ก็คงเหมือนกับการแจ้งบันทึกลงประจำวัน “ผ่านสื่อ” แทนที่จะต้องไปสถานีตำรวจซึ่งน่าจะได้ผลดีกว่าและไม่ทำให้ตำรวจต้องมาเสียเวลา ขณะเดียวกันคนที่อ่านก็จะได้รู้และไม่หลงกลไปกับคนโกงกลุ่มนี้