10 ตุลาคมของทุกปี ถูกกำหนดให้เป็น “วันสุขภาพจิตโลก” หรือ World Mental Health Day เพื่อให้ทุกคนในโลกได้เห็นความสำคัญของสุขภาพจิตและการเจ็บป่วยทางจิตใจ
โดยในประเทศไทยมีการจัดอันดับโรคที่พบมากอันดับ 1 ได้แก่ “โรคซึมเศร้า” ซึ่งมีคนจำนวนไม่น้อยที่ยังไม่รู้ตัวเองว่าเป็นโรคซึมเศร้าทำให้ไม่ได้เข้ารับการรักษา หรือบางคนอาจรู้ตัวว่าป่วยแต่ไม่ยอมเข้ารับการรักษา จนทำให้อาการรุนแรงขึ้น
“โรคซึมเศร้า” เป็นโรคทางจิตเวชชนิดหนึ่ง ที่เกิดจากความไม่สมดุลของสารสื่อประสาทในสมอง หลายชนิด เช่น ซีโรโทนิน (serotonin) นอร์เอพิเนฟริน (norepinephrine) และโดปามีน (dopamine) ส่งผลให้ผู้ป่วยมีอาการเศร้าหมอง เบื่อหน่าย หมดความสนใจในสิ่งต่าง ๆ ในชีวิต รู้สึกสิ้นหวัง ไร้ค่า และอาจคิดฆ่าตัวตายได้
สาเหตุของโรคซึมเศร้า เกิดจากหลายปัจจัย เช่น พันธุกรรม,การเปลี่ยนแปลงของสารเคมีในสมอง และเหตุการณ์ในชีวิตที่เครียดหรือกระทบกระเทือนจิตใจ เช่น การสูญเสีย การหย่าร้าง การถูกล่วงละเมิด เป็นต้น
อาการโรคซึมเศร้าจะแตกต่างจากความรู้สึกเศร้าโดยทั่วไป คือจะมีอาการเกือบตลอดทั้งวัน และอาการไม่หายภายใน 2 สัปดาห์ ได้แก่
• รู้สึกซึมเศร้า หรือกระวนกระวาย
• สูญเสียความรู้สึกสนุก มีความสุขในการทำกิจกรรมที่เคยชอบ
• มีความเปลี่ยนแปลงในด้านพฤติกรรมการกิน ความอยากอาหาร อาจมีการลดหรือเพิ่มของนํ้าหนักแบบไม่เหมาะสม
• ความต้องการทางเพศลดลง
• รู้สึกหมดพลังงาน หมดไฟในการทำสิ่งต่างๆ
• มีอาการทางกาย เช่น ปวดตำแหน่งต่างๆ โดยไม่มีสาเหตุที่ทำให้มีอาการอย่างชัดเจน
• ไม่ใส่ใจดูแลตัวเอง
• มีปัญหาด้านพฤติกรรมการนอนหลับ
• ไม่สามารถจดจ่อกับการทำกิจกรรมใดๆ ได้ ไม่มีสมาธิ
• ความสามารถในการคิดวิเคราะห์และการตัดสินใจสิ่งต่างๆ แย่ลง
• มีความรู้สึกผิด หรือรู้สึกไร้ค่า
• มีความรู้สึกไม่อยากมีชีวิตอยู่
การรักษาโรคซึมเศร้า จิตแพทย์จะเริ่มจากการสอบถามอาการ ผลกระทบที่เกิดขึ้น ไปจนถึงไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตประจำวัน โรคประจำตัว ยาที่กินอยู่ ประวัติครอบครัว จากนั้นแพทย์จะทำการประเมินว่าควรรักษาในแนวทางใด โดยปัจจุบันมีวิธีการรักษาหลายวิธี เช่น การรักษาด้วยยา ซึ่งแพทย์จะเริ่มให้ยาขนาดตํ่าก่อน จากนั้นนัดติดตามผลการรักษา ก่อนจะปรับขนาดยาขึ้นทุก ๆ 1-2 สัปดาห์ จนเห็นผลการรักษาที่ดี
ซึ่งถ้าผู้ป่วยมีอาการดีขึ้น อาจต้องกินยาต่อเนื่องอีก 4-6 เดือน จึงค่อยลดขนาดยาลงจนสามารถหยุดยาได้ เพื่อป้องกันการกลับมาเป็นซํ้า, การรักษาด้วยจิตบำบัด และการรักษาด้วย TMS เป็นการส่งคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าไปกระตุ้นสมองในจุดที่มีผลต่อโรค เพื่อปรับสมดุลการทำงานของสมองให้เข้าสู่ภาวะปกติและช่วยลดอาการซึมเศร้า โดยเฉพาะในผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรง มีผลข้างเคียงจากยา ไม่ตอบสนองต่อยา หรือรับประทานยาเกินหนึ่งปีแล้วแต่อาการไม่ดีขึ้น
“โรคซึมเศร้า” เป็นโรคที่สามารถรักษาหายได้ เบื้องต้นให้สังเกตอาการตัวเองและคนรอบข้างว่า –มีอาการเข้าข่ายโรคซึมเศร้าหรือไม่หากมีอาการเศร้านานกว่า 2 สัปดาห์ แนะนำให้รีบไปปรึกษาจิตแพทย์เพื่อเข้ารับการรักษาอย่างทันท่วงที
ขอบคุณ : Bangkok Mental Health Hospital