“โรคตับอักเสบจากเชื้อไวรัส” เป็นปัญหาสุขภาพที่สำคัญของคนไทย โดยปัจจุบันมีวัคซีนป้องกันโรคไวรัสตับอักเสบเพียง 2 ชนิด ได้แก่ วัคซีนป้องกันโรคไวรัสตับอักเสบ “บี” ซึ่งเป็น “วัคซีนพื้นฐาน” ที่กำหนดให้ฉีดในเด็กแรกเกิดซึ่งคลอดในโรงพยาบาลทุกราย และวัคซีนป้องกันโรคไวรัสตับอักเสบ “เอ” ซึ่งเป็น “วัคซีนทางเลือก”
โรคตับอักเสบจากเชื้อไวรัสที่พบในปัจจุบันมีทั้ง เอ บี ซี ดี และอี แม้วัคซีนป้องกันโรคตับอักเสบจะมีเพียง 2 ชนิด ได้แก่ วัคซีนป้องกันโรคไวรัสตับอักเสบ “เอ” และ “บี” แต่หากได้รับการฉีดจนครบตามจำนวนเข็มที่กำหนดจะทำให้สามารถดำเนินชีวิตด้วยความมั่นใจ โดยทั้ง 2 โรคอาจเป็นสาเหตุสำคัญของการเสียชีวิตจากภาวะตับล้มเหลวเฉียบพลัน
แพทย์หญิงเจนจิรา ทองดี แพทย์อายุรกรรมโรคระบบทางเดินอาหาร ศูนย์การแพทย์กาญจนาภิเษก คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล บอกว่า ไวรัสตับอักเสบแต่ละชนิดสามารถติดต่อได้แตกต่างกัน ได้แก่ “เอ” สามารถติดต่อได้จากอาหารและน้ำที่ปนเปื้อนเชื้อไวรัสก่อโรค ในขณะที่ไวรัสตับอักเสบ “บี” สามารถติดต่อได้จากเพศสัมพันธ์ และทางเลือด
วัคซีนป้องกันโรคไวรัสตับอักเสบจะช่วยป้องกันการติดเชื้อไวรัส ลดโอกาสเกิดตับอักเสบและลดความเสี่ยงในการเกิดตับแข็งได้
วัคซีนป้องกันโรคไวรัสตับอักเสบ “เอ” ในปัจจุบันสามารถป้องกันโรคได้ 95 - 100% โดยต้องฉีดวัคซีน 2 เข็ม ห่างกัน 6 เดือน
การฉีดวัคซีนป้องกันโรคไวรัสตับอักเสบ “บี” ให้ได้ผล ควรฉีดให้ครบ 3 เข็ม จากผู้ผลิตต่างกันได้ โดยเข็มสอง ควรฉีดห่างจากเข็มแรกประมาณ 1-2 เดือน และเข็มสามควรฉีดห่างจากเข็มแรกประมาณ 6 เดือน โดยสามารถป้องกันโรคไวรัสตับอักเสบ “บี” ได้ถึงร้อยละ 95
วัคซีนป้องกันโรคไวรัสตับอักเสบ “เอ” และ “บี” จึงเป็นสิ่งจำเป็น และประชาชนสามารถใช้บริการฉีดวัคซีนได้ โดยสามารถใช้บริการได้ทุกวันโดยไม่ต้องนัดหมาย พร้อมเข้ารับการตรวจภูมิก่อนเข้าสู่โปรแกรมฉีดได้ที่ ศูนย์การแพทย์กาญจนาภิเษก คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล ศาลายา
หน้า 15 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 43 ฉบับที่ 3,949 วันที่ 17 - 20 ธันวาคม พ.ศ. 2566