เปิดตำนานเปาบุ้นจิ้น

06 พ.ค. 2566 | 04:54 น.
อัปเดตล่าสุด :23 ก.ค. 2566 | 11:46 น.

เปิดตำนานเปาบุ้นจิ้น คอลัมน์ Cat out of the box โดย พีรภัทร์ เกียรติภิญโญ

อันว่าต้นตำรับความเปนธรรมไม่ลำเอียงมีแต่ความเที่ยงตรงในการพิจารณาตัดสินอรรถคดี สืบเสาะเลาะหาพยานหลักฐานจนคดีที่ดำมืดคลี่คลายออกใสกระจ่าง ด้วยความมือสะอาดไม่เกรงหน้าอินทร์หน้าพรหม (จนมีการนำไปใช้เปนยี่ห้อผงซักฟอก) ประดาเราท่านทั้งหลาย ก็คงต้องยกให้_เปาบุ้นจิ้น
 
วานนี้เผอิญว่าไปพบต้นฉบับ ประวัติเก่าท่านเปาบุ้นจิ้นในตำราเดิมๆเขาจัดพิมพ์เปนเกียรติแก่ ฯพณฯ อดีตรัฐมนตรียุคจอมพล ป. คือ คุณหลวงสุนาวินวิวัฒ โดย ครูศิวะ รณชิต ปูชนียาจารย์ แห่งนสพ. เดลิไทม์ สมัยโน้น ท่านเล่าว่า ได้ล้วงแคะไปในตำราพงศดารจีนต่างๆ ซึ่งสมเด็จเจ้าพระยาบุนนาคองค์ใหญ่ท่านอำนวยการแปล ทั้งเรื่อง บ้วนฮวยเหลา, โหงวโฮ้วเพ่งไช,  โหงวโฮ้วเพ่งหนำและ โหงวโฮ้วเพ่งบั่ก จึงรวบรวมมาเล่าสู่ท่านผู้อ่านเปนสำนวนต่างหากอีกสำนวนหนึ่ง เรียกว่าเปนตำนานเปาบุ้นจิ้นก็เหมาะดี กล่าวก็คือว่า
 
เปาบุ้นจิ้น นี้ เดิมทีท่านถือกำเนิดเกิดมาพร้อมเหตุอัศจรรย์ คือว่า ฮ่องเต้โอรสสวรรค์นึกอยากได้ผู้กล้าหาญทรงคุณธรรมมาช่วยงานราชการแผ่นดิน จึงประกอบการพระราชพิธีบวงสรวงใหญ่ไปถึงเง็กเซียนจอมสวรรค์

ก็ให้บังเกิดเหตุว่า ที่บ้านของท่านบิดาแซ่เปา ที่มณฑลนอกเมือง เกิดเหตุประหลาดคือมีลำแสงชอบกลโพลงลุกขึ้นเหมือนอย่างไฟไหม้บ้าน ชาวบ้านพากันมาช่วยจะดับไฟ แต่ก็ไม่เห็นมีเปลวเพลิงแต่อย่างใด จังหวะนั้นเองฮูหยินเปา ก็คลอดลูกชายทารก ชาวบ้านว่าได้กลิ่นหอมตลบอบอวล ที่ลานบ้าน สงสัยว่า เทพยดามาจุติเกิด พากันมายินดี ท่านบิดา ดีใจได้พักหนึ่ง ก็เริ่มใจเสีย ด้วยทารกบุตรชายตนนี้ทำไมออกมารูปชั่วตัวหน้าดำหนักหนา เห็นว่าเปนลางร้ายไม่มงคล ก็หนักใจ
 
อีทีนี้ก็ต้องกล่าวถึงว่าคนจีนเก่าๆนั้น เขาชอบคนงามๆ แม้จะเปนผู้ชายจะทำราชการหรือทำการค้า เขาก็นิยมนับถือว่าต้องรูปงามๆลักษณะต้องดีๆ ซึ่งภาพยนต์จีนสมัยนี้เวลาสร้างเรื่องย้อนยุคจะตามหานักแสดงมาเข้าบทได้ต้องคัดตัวและแอคติ้งกันอย่างเหมาะสม คาแรกเตอร์ เรื่อง The League of Nobleman 2022 นี่ก็ใช่ ตัวบุ๋น ตัวบู๋ คัดเอาที่รูปงามมาสวมบท คือ จิงโบรัน (จิ๋งปั๋วหราน) ดาราหนุ่มจากมณฑลเหลียวหนิง มาเล่นบทเปนผู้ช่วยรองเจ้ากรมพิธีการ มาดเขาในบทนี่ถูกต้องตามจรรยาประสาเก่าแท้ๆ 100%
 
ดังนี้แล้วคือว่าบิดาท่านเปาจะเอาทารกทิ้งเสีย ดีแต่ว่าพี่สะใภ้เกิดเห็นต่าง ว่าเด็กนี้น่าสงสารต่างหาก จึงขอมาเลี้ยงอย่างลูก ท่านเปาเติบโตมากับบ้านพี่สะใภ้ เรียนหนังสือเก่ง จนผู้คนยกย่องชื่นชม มุมานะทำการเข้าสอบจอหงวนที่เมืองหลวง อายุได้ 19 ท่านเปาของเราสอบได้ที่หนึ่ง

ทว่า องค์ฮ่องเต้ก็ยังฝังใจเรื่องรูปหน้าลักษณะดำ ทรงเห็นคนสอบได้ที่ 2 รูปงามกว่า ก็มีพระมหากรุณาให้คนสอบได้ที่รอง มากินตำแหน่งของท่านเปา การณ์มาออกรูปนี้ พระเอกของเราก็ชีช้ำนัก การบูลลี่มีมาแต่โบราณ ท่านหาผ้าได้ผืนหนึ่งก็รุดไปผูกคอตายใต้ราวสะพาน! เดชะบุญมีขุนนางผู้ใหญ่ผ่านมาเห็น ช่วยชีวิตท่านไว้ได้ ทั้งยังทำฎีกาทูลเกล้าร้องขอความเปนธรรม
 
ฝ่ายฮ่องเต้ก็สลดพระทัย จึงคืนตำแหน่งให้ ได้ไปเปนนายอำเภอที่เตี้ยตั้กกุย เมืองที่อัตราอาชญากรรมสูงสุดในแผ่นดิน 55
 
ท่านเปาเข้างานก็ถือว่างานเข้า ทำงานจริงจังปราบคดีต่างๆลงได้ราบคาบ จึงทรงพระกรุณาให้เลื่อนไปเปนเจ้าเมืองไคฟง ระหว่างครองตำแหน่งเจ้าเมืองอยู่นั้น เมืองใดเกิดความเดือดร้อน พระเจ้าซ้องยินจงฮ่องเต้มักมีรับสั่งให้ เปาบุ้นจิ้น  ไปจัดการบำบัดทุกข์บำรุงสุขราษฎรอยู่เนืองๆ  ท่านเปาบุ้นจิ้นเราก็ปฏิบัติราชการได้เรียบร้อยสมที่ทรงไว้วางพระราชหฤทัย จึงโปรดให้เลื่อนตำแหน่งขึ้นเปนถึง “ที เอ๋ ซุ่น อ้าน” ข้าหลวงตรวจการต่างพระเนตรพระกรรณ(Inspector general ว่างั้น) ได้รับพระราชทานพระแสงดาบอาญาสิทธิ์สั่งประหารชีวิตคนทำผิดได้โดยไม่จำต้องขอพระบรมราชานุญาตก่อน มีหน้าที่ตระเวณตรวจราชการไปได้ทั่วพระราชอาณาจักร

เปาบุ้นจิ้น จึงใช้ชีวิตอยู่กับบ้านน้อยมาก ส่วนใหญ่เดินทางไปต่างเมืองเพื่อตัดสินคดีให้ความเปนธรรมแก่ผู้เคราะห์ร้าย ที่ได้รับการกลั่นแกล้ง ซึ่งเปนที่รู้กันว่า ใครได้รับความไม่เปนธรรม จะต้องร้องเรียนเปาบุ้นจิ้น ท่านเปาเดินทางไปที่ใด มักมีประชาชนไปขวางหน้าเกี้ยว ยื่นฎีการ้องเรียนอยู่เสมอทุกคดีที่ผ่านมือ เปาบุ้นขึ้น ประชาชนได้รับความเปนธรรมตลอด บางคดี จำเลยเป็นลูกหลานขุนนางผู้ใหญ่ในเมืองหลวง เปาบุ้นจิ้น ก็มิได้เกรงใจ คงลงโทษผู้เด็ดขาดไม่เห็นแก่หน้าผู้ใด ชื่อเสียงเกียรติคุณของ เปาบุ้นจิ้นก็ยิ่งขจรขยายไปทั่วแผ่นดิน
 
ทว่ามีอยู่คดีหนึ่งสร้างความหนักใจให้ ท่านเปาอย่างมาก ถึงกับว่าเมื่อตัดสินคดีเสร็จสิ้นไปแล้ว ต้องยอมถวายบังคมลาออกจากตำแหน่ง เพื่อถนอมพระทัยพระเจ้าซ้องยินจง เพราะจำเลยในคดีนั้น คือพระราชบุตรเขยของพระองค์เอง!
 
คดีนี้ ชื่อ คดี ซินฮู่หม่า เรื่องมันเริ่มขึ้นที่หมู่บ้านชาวนา เมืองโอก๊วง ซึ่งอยู่ห่างไกลจากพระนครหลวงชินซีมุ้ย เปนชายรูปงาม (อีกแล้ว) ใฝ่รักในวิชาความรู้ แม้จะมีฐานะเป็นชาวนาผู้ยากจนกลับขยันหมั่นเพียร ท่องตำรา เพื่อเข้าไป สอบจอหงวน ในเมืองหลวง
 
เขามีภรรยาแล้ว ชื่อ นางตันเพ็กเอง มีบุตร ๒ คน ชายหนึ่งหญิงหนึ่งยังอยู่ในวัยห้าหกขวบ อาศัยอยู่กับมารดาและภรรยาในกระท่อมปลายนาชานเมือง  พอสอบจอหงวนได้  เข้าเฝ้าพระเจ้าซ้องยินจงฮ่องเต้ ทรงทอดพระเนตรเห็น ซินซีมุ้ย รูปร่างสวยงาม จึงพอพระทัย รับสั่งถามว่า มีภรรยาหรือยัง ชินซีมุ้ย เปนคนทะเยอทะยานก็ทูลความเท็จว่า ยังไม่มี  จึงมีพระมหากรุณา พระราชทานพระราชธิดาให้ แต่บัดนั้นก็ได้เปนที่ ฮู่หม่าหรือว่า พระราชบุตรเขย
 
ชินฮู่หม่า ก็ได้ดีหลงลืมครอบครัวทางเมืองนั้น เสพสุขอยู่เมืองหลวงไม่คิดกลับไปบ้าน ฝ่ายนางตันเพ็กเอง ผู้ภรรยา เฝ้ารอสามีอยู่นาน กระทั่งมารดาของสามีป่วยตายลง เงินจะซื้อโลงยังไม่มี ที่ดินก็ไม่มีฝังศพเพราะที่นาก็เช่าเขา

จำต้องเอาศพมารดาของแม่ผัวห่อเสื่อทิ้งลงน้ำแล้วพาลูกทั้งสอง ติดตามหาสามีไปในเมืองหลวงเมื่อมาถึงจึงได้ทราบว่า ผัวรูปงามแห่งตัว กลายเปน ชินหม่าราชบุตรเขยไปแล้ว


 
แม้จะเสียใจถึงน้ำตาตก แต่ก็เจียมตัว ไม่คิดจะขัดขวางความสุขของสามี เพียงเข้าไปขอพบเพื่อขอเงินมาเลี้ยงดูบุตรต่อไป แต่ปรากฏว่าข้าง ชินฮู่หม่า ไม่ยอมให้พบนางก็จนใจจะกลับไปบ้านท้องนาตามเดิม ก็บังเอิญได้พบขุนนางตงฉินคนหนึ่งเข้า ขันอาสาจะให้นางได้เข้าถึงตัว ชินฮู่หม่า ทว่าชินฮู่หม่า พอเห็นภรรยาเก่า กลับให้ทหารขับไล่นางออกไปจากวัง แค้นนักที่ถูกประจานเผยความลับ เลยส่งให้เตียเชยทหารรับใช้ไปฆ่าทิ้งเสียโดยมอบดาบประจำตัวของตนให้ไป (เอ่ ดูโง่ๆ ตรงนี้) พร้อมเงินรางวัล เมียเก่าไปจนมุมที่ศาลเจ้าร้างก็ยอมให้เตียเชยประหารโดยขอเพียงให้ปล่อยลูกทั้งสองไป เตียเซยก็ให้สัญญา
 
แต่เมื่อเงื้อดาบจะสังหาร บุตรชายหญิงทั้งสองก็วิ่งมากอดขาเขา วิงวอนขอให้ฆ่าลูกแทนแม่เถิด เห็นแม่ลูกแย่งกันตายอยู่เช่นนั้น เตียเชยก็ใจอ่อน คิดไม่ตกที่สุดก็ตัดสินใจใช้ดาบชินฮู่หม่าให้มา เชือดคอตนตายในศาลเจ้านั้นเอง_เวรกรรม ระยะนั้น พอดีเปาบุ้นจิ้น เดินทางกลับเมืองหลวง นางตันเพ็กเองกับบุตรน้อย ๒ คน ก็เข้าไปขวางหน้าเกี๊ยวไว้ยื่นฎีกา
 
ท่านเปาส่งทหารไปตรวจศาลเจ้าร้าง ทหารก็นำเอาศพเตียเชยมาให้ดู พร้อมดาบที่สลักชื่อชินฮู่หม่า เปาบุ้นจิ้น ส่งคนไปสืบทางเมืองโอก๊วง ก็ได้ความจริง ด้วยชาวนาชานเมืองโอก๊วง รู้จักซินซีมุ้ยแทบทุกคนเปาบุ้นจิ้นรู้สึกหนักใจแต่อาศัยอำนาจความยุติธรรมที่สิงสู่อยู่ในจิตใจมานานช้าตัดสินใจไปสอบปากคำซินฮู่หม่า ข้างราชบุตรเขยก็ยืนกระต่ายขาเดียวว่าไม่รู้เรื่อง ไม่ได้ใช้ใครไปฆ่าใคร
 
เปาบุ้นจิ้นก็ขัดเคือง สั่งขังชินฮู่หม่าเอาไว้ทันควัน ความทราบถึงฮองไทเฮา แม่ยายของชินซีมุ้ย ถึงขั้นจึงเสด็จมาพบเปาบุ้นจิ้น ขอร้องให้ระงับคดีนี้เสียพลางทรงยื่นถุงใส่ทองคำให้เปาบุ้นจิ้นรับสั่งให้นำไปให้นางตันเพ็กเอง “ผู้หญิงบ้านนอกยากจนเช่นนั้น ทองคำแท้นี้ มันก็คงเลี้ยงลูกเต้าให้สุขสบายชั่วชีวิต”
 
เมื่อฮองไทเฮารับสั่งเช่นนั้น เปาบุ้นจิ้น เกรงพระทัย ก็จำต้องรับทองคำไว้  แล้วเรียกนางตันเพ็กเองเข้ามาพบ ขอให้เลิกคดีนี้เสีย (ถอนฟ้อง)นางตันเพ็กเอง รับถุงทองคำมาแล้วโยนทิ้งต่อหน้า ร่ำไห้รำพันกับเปาบุ้นจิ้นว่า  “ข้าพเจ้าบากหน้ามาเพื่อขอความยุติธรรมจากท่าน ไม่ได้มาขอเงินทอง แม้ขุนผู้นางใหญ่อย่างท่านยังหาความยุติธรรมมิได้ ถ้าลูกของข้าพเจ้าได้เป็นขุนนาง มันจะมีปัญญาอะไรไปช่วยราษฎรให้พ้นจากความทุกข์ได้”


 
เปาบุ้นจิ้นได้ฟังก็นิ่งขึงตะลึงงันอยู่กับที่นางตันเพ็กเองสะอึกสะอื้นแล้วโอบกอดลูกทั้งสองไว้เพื่อออกไปจากศาลสถิตยุติธรรม เปาบุ้นจิ้นก็ตวาดด้วยเสียงอันดังให้นางยั้งอยู่ก่อน พลางสั่งพนักงานให้ “เปิดศาล” ชินฮู่หม่า จึงถูกทหารไปกุมเอาตัวมาอีกคราว
 
ซินฮู่หม่า ยังทะนงตนว่า ไทเฮาจะช่วยได้ จึงตอบปฏิเสธทุกข้อหา ดังนั้น เปาบุ้นจิ้น จึงพิพากษาว่า “ตัวกระทำผิดหลายประการนัก ประการแรก หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ กราบทูลความเท็จว่ายังไม่มีภรรยา ทำให้ฮ่องเต้พระราชทานราชธิดาให้สมรสด้วย ประการที่สองตัวขาดความกตัญญูต่อมารดาอันเป็นคุณธรรมของชาวจีนทั้งปวง ทั้งให้มารดาอดอยากทุกข์ยากจนป่วยตายไป แม้เวลาตายก็ไม่มี โลงใส่ต่อห่อเสื่อโยนลงแม่น้ำ ประการที่สาม ตัวบังอาจท้าทายกฎหมายบ้านเมือง ใช้เตียเชยถือดาบตามไปสังหารนางตันเพ็กเองภรรยาคู่ทุกข์คู่ยากเก่าแก่ เพื่อปิดความลับ แลประการสุดท้าย เเม้พยานหลักฐานจะชัดแจ้งแล้วตัวก็ยังปากแข็งไม่ยอมรับผิดโทษของตัวจึงมีเพียงประการเดียวเท่านั้น คือ....ประหารชีวิต”
 
ขณะที่ทหารนำตัวชินฮู่หม่าไปเข้าเครื่องประหารนั้น นางตันเพ็กเอง เกิดเวทนาสามีสุดหัวใจ รีบวิ่งเข้าไปหาเปาบุ้นจิ้น คุกเข่าลงร้องไห้วิงวอนให้เปาบุ้นจิ้นไว้ชีวิตสามีของนาง เปาบุ้นจิ้น สั่นหน้า ตอบว่า “เมื่อครู่ เจ้าบอกว่า เจ้าเข้ามาขอความยุติธรรม (แถมด่าข้า) มิได้มาขอเงินหรือทอง บัดนี้ เราก็ได้ให้ความยุติธรรมแก่เจ้าแล้ว เจ้ายังมิพอใจอีกหรือ?”
 
นี่ไง เล่นกับใครไม่เล่น ตันเพ็กเองเอ๋ย
 
เปาบุ้นจิ้นสั่งพอประหารชีวิตราชบุตรเขยไปแล้ว ก็รีบถอดหมวกยศเสื้อเข็มขัดยศ พร้อมพระแสงดาบอาญาสิทธิ์ออกคืนถวายฮ่องเต้   ทว่า ไม่ทรงยอมพระราชทานเครื่องยศ  และพระแสงดาบอาญาสิทธ์คืนมา พร้อมกับรับสั่งว่า “ถ้าไม่มีเปาบุ้นจิ้น แผ่นดินเรา ก็ไม่มีความยุติธรรม”
 
เปาบุ้นจิ้น อยู่กินกับนางเตียวสีฮูหยินมาจนแก่เฒ่าถ้วยกัน แต่หาบุตรสืบสกุลไม่ได้ เมื่อภรรยาบ่นน้อยใจในวาสนาที่ไม่มีบุตร เปาบุ้นจิ้นปลอบโยนว่า “การมีบุตรหรือไม่มี เปนเรื่องของเวรกรรม เราบันดาลมันเองไม่ได้ ถ้าเรามีบุตรแล้วบุตรดีก็ดีไป ถ้าบุตรชั่ว เราก็ต้องเสียใจ ไม่ควรมีบุตรเสียเลยจะดีกว่า”
 
สำนวนเก่านี้ว่าเปาบุ้นจิ้น ถึงแก่กรรมเมื่อชรา ฮ่องเต้เสียพระทัยถึงกับสวรรคตตามไปด้วย ไม่ช้าไม่นาน นางเตียวสีฮูหยิน ผู้กรรยาก็พลอยถึงแก่กรรมตามสามีไปอีกคน ตำนานเปาบุ้นจิ้นนี้ทุกคนตายสนิท แต่ชื่อเขาคนเดียวที่ยังไม่ตายมีเรื่องราวชีวิตเปนอมตะให้ผู้คนนำมาเล่าสู่กันฟังตราบเท่าทุกวันนี้

นสพ.ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 43 หน้า 18  ฉบับที่ 3,885 วันที่ 7 - 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2566