ชื่อของ เศรษฐา ทวีสิน ซีอีโอใหญ่ แห่ง บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) ปรากฏรายชื่อเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ของ พรรคเพื่อไทย ในการเลือกตั้งครั้งใหม่ที่จะเกิดขึ้นในปี 2566 นี้
เพื่อให้รู้ถึงมุมมองต่อการแก้ไขปัญหาของประเทศชาติ และแนวคิดทางการเมือง หากได้มีโอกาสเข้ามาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ของประเทศไทยคนต่อไป หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ และ รายการ “Nation Insight” ทางเนชั่นทีวีช่อง 22 โดย บากบั่น บุญเลิศ และ วีระศักดิ์ พงศ์อักษร จึงได้ขอโอกาสเพื่อเข้าสัมภาษณ์พิเศษ
รัฐบาลต้องดูแลทุกกลุ่ม
เศรษฐา ทวีสิน ให้มุมมองทางการเมือง ที่มีชื่อปรากฏเป็น “แคนดิเดตนายกฯ” ของพรรคเพื่อไทย ว่า เรื่องแคนิเดตนายกฯ นั้น ปัจจุบันนี้ผมก็ยังอยู่ที่เดิมเหมือนเดิมทุกอย่าง ทำงานเหมือนเดิม
เศรษฐา ยังกล่าวถึงหน้าที่ของรัฐบาลว่า หน้าที่ของรัฐบาลต้องตอบโจทย์ความต้องการของประชาชนทุกคน คนรุ่นใหม่ก็เป็นภาคส่วนหนึ่ง ที่ต้องบริหารจัดการ ต้องทะนุถนอมเขาเพื่อให้เป็นกำลังสำคัญของประเทศ ไม่ต้องทำอะไรพิเศษ เป็นเรื่องที่ควรทำ ทั้งสิทธิเสรีภาพในการเลือกเกณฑ์ทหาร การศึกษา แหล่งงานที่เหมาะสม ซึ่งรัฐบาลปัจจุบันอาจจะทำอยู่แล้วแต่มีความบกพร่องในด้านการสื่อสาร ก็เป็นไปได้
“ผมเชื่อว่าผู้นำประเทศ รัฐมนตรีทั้งหลายก็มีความหวังดีด้วยกันทั้งนั้น แต่อาจต้องปรับวิธีการสื่อสาร อย่าใช้อารมณ์ เราเป็นผู้ใหญ่แล้ว เราต้องเป็นตัวอย่างที่ดี มิเช่นนั้นจะเหมือนกับการสาดน้ำมันเขาไปในกองไฟ”
เลือกตั้งจุดเปลี่ยนประเทศ
ส่วนการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองที่มีการเลือกตั้งในปีหน้า จะเป็นจุดเปลี่ยนประเทศไทยหรือไม่ เศรษฐา ระบุว่า จุดเปลี่ยนจะเกิดขึ้นได้ ต้องเลือกให้ขาด “เขาใช้คำว่าแลนด์สไลด์ แต่จริงๆ ผมเชื่อว่านักธุรกิจหลายท่านก็อยากเห็น ให้มันชัดเจน คนที่บริหารจัดการประเทศก็จะได้ไม่มีข้ออ้างไง กระทรวงนี้พรรคนี้คุม กระทรวงนี้ผมไปขับเคลื่อนก็ลำบาก เพราะว่าต้องระมัดระวังเรื่องคะแนนเสียง อันนี้เราพูดความจริงกันดีกว่า เพราะฉะนั้นรักใครชอบใคร ถ้าชอบรัฐบาลเก่า ถ้าเห็นว่าเขาทำดีแล้วก็เลือกเขาไป แล้วสำคัญที่สุดคือเสร็จแล้วยอมรับ ยอมรับเหตุและผล”
เศรษฐา มองว่า ปัญหาความขัดแย้งทางความคิด ความขัดแย้งทางการเมือง ที่สะสมมานาน ส่งผลต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจ ทั้งที่ศักยภาพของไทยไปได้ไกลกว่านี้มาก หากไม่มีการปิดสนามบิน ไม่มาเดินราชประสงค์ ทำให้เกิดรัฐประหารขึ้น ซึ่งทุกคนเห็นด้วยหมด เพียงแต่จะพูดหรือไม่พูดเท่านั้น ว่าสิ่งเหล่านี้เป็นตัวถ่วงอันหนึ่ง
รัฐบาลใหม่ที่เข้ามาและได้รับฉันทามติจากประชาชน คือ 500 เสียง อีก 250 เป็นของ ส.ว. เป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วง แต่เชื่อว่า ส.ว. ท่านทำหน้าที่เพื่อประชาชน ฉะนั้น ถ้าประชาชนให้ฉันทามติมาแล้ว ท่านจะทำหน้าที่ของท่านด้วยความภาคภูมิใจและสมเกียรติที่ได้รับมอบหมายมา
“ถ้าเป็นรัฐบาลที่รับเสียงส่วนมากมาแล้ว น่าจะมาดูทั้งหมดว่าต้นตอความขัดแย้งเกิดจากอะไร ถ้าจะมีการแก้ไขอะไรก็อย่าไปทำกับคนกลุ่มเดียว เพราะมีหลายภาคส่วนที่หนักใจ และส่งผลกระทบต่อบุคคลที่ไร้เดียงสาไปหมด”
ในแง่ความเป็นไปได้ในการแก้ไขเรื่องความเกลียดชัง ค่อนข้างลำบาก เพราะฝังลึกมาก ฉะนั้นใครก็ตามที่เข้ามาบริหารจัดการต้องดูองค์รวมของเสาหลักที่ค้ำประเทศนี้ทั้งหมด โดยเอาประชาชนเป็นที่ตั้งแล้วดูว่าอะไรสำคัญที่สุด
ปัญหาปากท้องสำคัญสุด
ส่วนปัญหาใหญ่ที่เป็นวาระแห่งชาติต้องเร่งแก้ไขในมุมของ เศรษฐา คือ ปัญหาปากท้อง ภูมิศาสตร์การเมืองระหว่างประเทศ (Geopolitics) เวลาที่เกิดสงครามมีคนได้คนเสียตลอดเวลา และในช่วง 8 ปีหลังนี้ ประเทศไทยในเวทีโลกเกือบจะไม่มีที่ยืน เพราะไม่ออกไปปรากฎตัวแสดงความเป็นตัวตนของเรา หรือแสดงศักยภาพที่เราสมควรจะไปแสดง
"ไทย มีทรัพยากรหลายอย่างที่คนอื่นต้องการ เพียงแต่ว่าเราต้องภาคภูมิใจและอ่อนน้อมถ่อมตน รู้ตนเองว่าเราขนาดไหน ต้องไปค้าขายกับใครอย่างมีศักดิ์ศรี เป็นเรื่องที่สำคัญมาก เพราะเราอยู่ด้วยตัวเองไม่ได้ เราไม่ได้มีประชากร 1,400 ล้านคน ที่จะมาขับเคลื่อนเศรษฐกิจต้องไปพึ่งคนอื่น”
พร้อมเป็นคนยืดหยุ่น
สำหรับภาพลักษณ์ของ เศรษฐา ที่ดูเป็นคนที่มีความมั่นใจเป็นตัวของตัว ทำให้หลายคนมองว่า ยากต่อการทำการเมือง ที่ต้องการความยืดหยุ่นนั้น เขาอธิบายว่า “จากประสบการณ์การทำงานที่แสนสิริ ผมก็ต้องยืดหยุ่นพอสมควรเหมือนกันนะ กว่าจะมาถึงจุดๆ นี้ได้ ถ้าไปเป็นนักการเมือง นักสังคมสงเคราะห์ ผมจะยืดหยุ่นได้ แต่มันก็เป็นเรื่องของอนาคต
แต่ถ้าผมจะทำ ก็ทำได้ทุกอย่าง แต่ให้ผมเดินบนน้ำผมคงเดินไม่ได้ ยังไงก็จมอยู่ดี แต่จะให้เป็นผู้บริหารองค์กร ผมคิดว่าผมมีความเป็นไปได้ แต่ขึ้นอยู่กับหลายๆ อย่าง เพราะว่าวันนี้กับอีก 6 เดือนข้างหน้า สถานการณ์ก็แตกต่างกัน จึงเร็วเกินไปที่จะสรุปตอนนี้ แต่ถามว่าอยากเป็นไหมบอกตรงๆ ไม่อยากเป็น”
นั่งนายกฯลุย 4 วาระด่วน
ต่อประเด็นหากพรรคเพื่อไทยชนะเลือกตั้งแบบ “แลนด์สไลด์” และได้เข้าไปบริหารประเทศ 4 อย่างที่อยากทำเพื่อให้เกิดเปลี่ยนแปลงในฐานะเบอร์หนึ่งของประเทศมีอะไรบ้างนั้น เศรษฐา กล่าวว่า 4 เรื่องใหญ่ คือ
1.เรื่องปากท้อง อันนี้เป็นเรื่องสำคัญมากที่ต้องการการแก้ไขเร่งด่วนอย่างเต็มที่
“ปัญหาปัจจุบันของประเทศมันคือเรื่องอะไร มันคือเรื่องปากท้อง เรื่องของปากท้อง มันโยงใยกับเรื่องอะไร กับเรื่องเศรษฐกิจเป็นหลัก เศรษฐกิจจริงๆ แล้วก็อย่างที่บอก ถ้าเกิดเอาการเมืองนำ บางเรื่องเศรษฐกิจก็ไปไม่ได้ใช่ไหมครับ”
2.เรื่องรัฐธรรมนูญ ผมอยากให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ การแก้ไขรัฐธรรมนูญนี้ก็อาจจะรวมไปถึงเรื่องของการที่จะมาแก้ปัญหาที่มันสะสมมา 16-17 ปี หรือ 18 ปี ที่ผ่านมาก็ได้
3. เรื่องภูมิศาสตร์การเมืองระหว่างประเทศ (Geopolitics) ไทยต้องมีจุดยืนที่เด่นชัดภายใต้ความอ่อนน้อมถ่อมตนแต่ต้องมีตัวตนที่มีศักดิ์ศรีบนเวทีการค้าโลก “เราไม่สามารถไปอิงกับสหรัฐ รัสเซียได้ เพราะทุกฝ่ายต้องการบางอย่างจากเราแตกต่างกันไป เราสามารถให้ซูเปอร์เพาเวอร์แตกต่างกันไป”
และ 4.เรื่องสิทธิเสรีภาพ ความเสมอภาค กฎหมายที่นำมาซึ่งความเสมอภาคไม่ว่าจะเพศสภาพ ถือเป็นซอฟท์พาว์เวอร์ของคนไทย
“สำหรับการนิรโทษกรรม แต่ละคนมีลำดับความสำคัญแตกต่างกันออกไป ผมไม่ได้พูดว่าใครต้องทำ หรือไม่ต้องทำ แต่ผมบอกได้ชัดเจนว่า ลำดับความสำคัญของผมมี 4 เรื่อง ที่เป็นเป้าหมายในการแก้ปัญหาให้เศรษฐกิจของประเทศดีขึ้น ส่วนเรื่องอื่นถือเป็นเรื่องรอง” เศรษฐา ระบุ
รับอ่อนหัดการเมือง
เศรษฐา ยอมรับด้วยว่า ยังไม่เข้าใจบางอย่างของพรรคการเมือง ผมยังมีความประหม่าอยู่ ผมรู้ว่าเรื่องยาก เรื่องง่าย เยอะแยะไปหมด เรายังอ่อนหัดอยู่ เกมการเมืองพอเข้าใจบ้าง แต่วิธีการคิดไม่บอกว่าผิดหรือถูก แต่ว่าเราไม่เข้าใจ ซึ่งถ้าต้องเข้าไป ก็ต้องเรียนรู้ ที่ผ่านมาผมทำหน้าที่ในการให้ความคิดเห็นเชิงสร้างสรรค์ไม่ใช่บ่อนทำลาย หรือ ด้อยค่าภาคส่วนใดภาคส่วนหนึ่ง รวมทั้งรัฐบาลปัจจุบันด้วย
“ส่วนตัวไม่ชอบคำว่า ปฏิรูป ที่หลายคนมักใช้นำมาใช้ เช่น ปฏิรูปข้าราชการ นักการเมือง ทหาร ฯลฯ เพราะความหมายจริงๆ มันคือ การพัฒนา เหมือนกับการทำธุรกิจต้องพัฒนาตัวเองไปเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นหลักการคิด วิธีการคิด เป็นสิ่งที่ต้องทำในกระบวนการทำงานอยู่แล้ว”
ฉะนั้น สถาบัน หรือหน่วยงานใดที่หยุดพัฒนา อยู่ไม่ได้ในโลกยุคที่มีการเปลี่ยนแปลงรวดเร็วขนาดนี้ ซึ่งสถาบันการเมืองก็ต้องพัฒนาให้เหมาะสมกับริบทที่เปลี่ยนแปลงไป ความต้องการของคนรุ่นใหม่ ของการอยู่ร่วมกันของคนสูงวัย ที่เพิ่มขึ้น อายุยืนยาวขึ้น คนมีลูกน้อยลง แสดงว่า “อัตราการแบก” ของคนรุ่นใหม่ที่ต้องแบกคนสูงอายุมากขึ้น สะท้อนว่า ความสามารถในการทำมาหากินจะต้องสูงขึ้น เพราะคนรีไทร์เร็วขึ้น ดังนั้นทุกอย่างต้องพัฒนาหมด
“สมมติ ผมเป็นแคนดิเดตนายกฯ ต้องปฎิบัติตาม เพราะกฎเขาเขียนมาแบบนั้น ก็ต้องยอมรับ เราอยู่ขนาดนี้แล้ว เราจะไม่หักด้ามพร้าด้วยเข่า แต่ถ้าจะให้ดีต้องเป็นอภิมหาแลนด์สไลด์ เอาไปเลยเซฟๆ 376 (จำนวนส.ส.ของพรรคเพื่อไทย)”
อย่างไรก็ตาม เศรษฐา ออกตัวถึงอนาคตทางการเมืองของตนเองว่า "ตอนนี้ยังไม่มีความชัดเจน มีหลายปัจจัยที่ต้องมาคุยกัน แสนสิริ ยังไปได้ดีอยู่ เขายังต้องการผมอยู่ที่นี่เหมือนกัน ฉะนั้นเป็นอะไรที่ต้องคิดให้รอบคอบ แต่ที่แน่ๆ การเลือกตั้งครั้งหน้าจะเป็นฉันทามติ จะแลนด์สไลด์ หรือถล่มทลายอะไรก็ตามที ...ผมตื่นเช้าไปรอลงใช้สิทธิ เพราะเป็นสิทธิพื้นฐานในการเรียนรู้ที่อยู่ร่วมกัน และการยอมรับความคิดเห็นที่แตกต่าง”