ดีกรีความร้อนแรงทางการเมืองระอุขึ้นทันที หลังสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัย กรณีมีหลักฐานปรากฏว่า นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร แบบบัญชีรายชื่อ เป็นผู้ถือหุ้นในกิจการหนังสือพิมพ์หรือสื่อมวลชนใดในวันสมัครรับเลือกตั้ง อันเป็นลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพุทธศักราช 2560 มาตรา 82 วรรคสี่ เป็นเหตุให้สมาชิกภาพของ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ สิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 101 (6) ประกอบมาตรา 98 (3)
วันเดียวกัน ศาลรัฐธรรมนูญ ก็มีคำสั่งรับคำร้องเรื่อง นายพิธา และพรรคก้าวไกล ที่เสนอร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ ...) พ.ศ. เพื่อยกเลิกประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 โดยใช้เป็นนโยบายในการหาเสียงเลือกตั้ง เป็นการใช้สิทธิ หรือ เสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขหรือไม่ ไว้พิจารณาวินิจฉัย
จึงกลายเป็นแรงกระเพื่อมไปยังกลุ่มผู้สนับสนุน นายพิธาและ พรรคก้าวไกล จนเกิดการนัดชุมนุมในวันที่ 13 ก.ค. ซึ่งเป็นวันที่มีการประชุมร่วมรัฐสภา ครั้งที่ 1 เพื่อโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี ซึ่ง 8 พรรคร่วมรัฐบาลได้เสนอชื่อ “นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์” แคนติเดตนายกรัฐมนตรีและหัวหน้าพรรคก้าวไกล เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 30
ขณะที่ในรัฐสภาการโหวตเลือกนายกฯ เดินหน้าอยู่ อีกฟากการนัดหมายชุมนุมผ่านช่องทางต่างๆ ทั้งออฟไลน์ และออนไลน์ ก็เคลื่อนไหวต่อเนื่อง ภายใต้รหัส “พฤหัสสีส้ม” ภารกิจด่วนที่มาพร้อมสัญลักษณ์สีส้ม ที่นัดหมายรวมตัวกันเพื่อสนับสนุนให้รัฐสภาลงมติโหวตเลือก นายพิธา ในช่วงเย็นวันเดียวกัน
การเคลื่อนไหวครั้งนี้ เปรียบเหมือนคลื่นใต้นํ้า ที่บ่งชี้ว่า หากการโหวตเลือกนายกฯ ครั้งนี้ไม่บรรลุตามเป้าหมาย ที่พวกตนต้องการ ก็พร้อมที่รวมตัวเพื่อแสดงพลังเรียกร้องสิทธิ ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่มีใครต้องการ
แน่นอนว่า การมี “ผู้นำประเทศ” เป็นเรื่องสำคัญ ที่คนไทยทั้งประเทศรอคอย และทั่วโลกจับจ้อง เพราะต่างต้องการ “ผู้นำ” มาขับเคลื่อนประเทศ ขณะที่ภาคเอกชนไทยต่างตระหนักและมุ่งหวังให้ “รัฐบาลชุดใหม่” เกิดขึ้นโดยเร็ว เพื่อเดินหน้าขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ประเทศ จัดสรรงบประมาณรายจ่ายภาครัฐ มาตรการกระตุ้นการบริโภค กระตุ้นเศรษฐกิจ เรียกความเชื่อมั่นจากนักธุรกิจ ทำให้เกิดการลงทุนจากต่างประเทศ
ส่วนนักลงทุนจากต่างชาติเอง ก็เกาะติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด เพื่อรอดูทิศทางของรัฐบาลก่อนที่จะเดินหน้าเข้ามาลงทุนหรือขยายการลงทุนเพิ่ม
การมีผู้นำประเทศ การมีรัฐบาลชุดใหม่มาบริหารประเทศ ถือเป็นสิ่งที่ประเทศพึงมี ตามระบอบประชาธิปไตย แต่ภายใต้กระบวนการดำเนินการต่างๆ เพื่อให้ได้มาเพื่อผู้นำประเทศและรัฐบาลชุดใหม่ จะต้องไม่เกิดความรุนแรง ไม่สร้างความแตกแยก รอยร้าวให้สังคม จนก่อเกิดเป็นการชุมนุมบนท้องถนน เหมือนเช่นที่แล้วๆ มา