บิ๊กไทยพาณิชย์ชี้ “เพซ” ยังไม่ผิดนัดชำระหนี้ แต่แนะให้หาพันธมิตรช่วย หลังยอดโอน “มหานคร” ล่าช้า โครงการมหาสมุทรหัวหินขายไม่หมด เพซยืนยันโครงการคืบหน้า ขณะที่โบรกเกอร์ยันอาการน่าห่วง
นายอาทิตย์ นันทวิทยา กรรมการผู้จัดการใหญ่ และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) (SCB) กล่าวถึงสถานการณ์บริษัท เพซ ดีเวลลอปเมนท์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ PACE ซึ่งเป็นลูกหนี้รายใหญ่ว่า ยังไม่คับขัน อยู่ในภาวะที่ควบคุมได้ ไม่มีความกังวล เพราะบริษัทยังไม่ผิดนัดชำระหนี้ ประกอบกับโครงการมหานครขายหมดแล้ว เพียงแต่อยู่ระหว่างการโอน ถ้าโอนกรรมสิทธิ์ได้หมดจะมีเงินมาปลดหนี้ส่วนใหญ่ แต่กระบวนการโอนยังล่าช้าทำให้รายได้ที่จะทยอยรับรู้ยังไม่เข้ามาจากการโอน จึงควรหาพันธมิตรเข้ามาช่วยเหลืออีกทาง
นายอาทิตย์ยังกล่าวถึงโครงการมหาสมุทร วิลล่า หัวหิน บ้านพักตากอากาศสุดหรู จำนวน 80 หลัง ราคาเริ่มต้น 50 ล้านบาทว่า ทราบมาว่ายังขายไม่หมด แต่ไม่ใช่เป็นประเด็นที่จะทำให้เพซมีปัญหา
[caption id="attachment_63628" align="aligncenter" width="377"]
อาทิตย์ นันทวิทยา[/caption]
ฝ่ายประชาสัมพันธ์ชี้แจงข้อมูลจากบริษัทเพซฯถึงความคืบหน้าโครงการมหานคร หลังจากก่อสร้างแล้วเสร็จในปี 2559 ได้เริ่มตกแต่งส่วนต่างๆ โดยได้เริ่มเปิดให้ลูกบ้านย้ายเข้าอยู่เมื่อเดือนมิถุนายน และอยู่ระหว่างการตกแต่ง ส่วนโรงแรมและจุดชมวิว คาดว่าจะสามารถเปิดให้บริการได้ในต้นปี 2561
ส่วนโครงการมหาสมุทร ปัจจุบันอยู่ระหว่างการก่อสร้าง ซึ่งมีความคืบหน้าอย่างเห็นได้ชัดเจน โดยมหาสมุทร วิลล่าก่อสร้างแล้วเสร็จ 58 หลังจาก 80 หลัง และจะสามารถโอนกรรมสิทธิ์ให้กับเจ้าของวิลล่าในไตรมาส 4 ปีนี้ ซึ่งตอนนี้มียอดแบ็กล็อกประมาณ 1.4 พันล้านบาท ในขณะที่มหาสมุทร คันทรี่ คลับได้เริ่มการก่อสร้างแล้วเช่นกัน คาดว่าจะสามารถแล้วเสร็จพร้อมเปิดให้บริการภายในต้นปีหน้า
ด้านบทวิเคราะห์ บล.พัฒนสิน โนมูระฯ คาดว่า เพซ ยัง มีความสามารถในการจ่ายชำระหนี้ เนื่องจากบริษัทยังมีเงินสดในมือราว 5.2 พันล้านบาท รวมถึงยังมีโครงการที่สร้างเสร็จแล้วรอการโอนคือ คอนโดมิเนียมมหานคร มียอดขายราว 70% ของมูลค่าโครงการ 1.5 หมื่นล้านบาท รวมถึงคาดว่าจะมีการโอนโครงการบ้านพักตากอากาศมหาสมุทรในช่วงปลายปีนี้ อย่างไรก็ดี เนื่องจากเพซมีภาระหนี้ที่ค่อนข้างสูงโดยมี D/E 3.2 เท่า หากประสบปัญหาในการโอนอาจทำให้ต้องกังวลด้านฐานะการเงินในระยะยาว
ภาระหนี้ส่วนใหญ่มีหลักทรัพย์คํ้าประกัน หากเพซ กลายเป็นหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้(เอ็นพีแอล) คาดว่าธนาคารเจ้าหนี้ไม่ต้องตั้งสำรองเต็มมูลหนี้ ประกอบกับการที่ไม่ทราบมูลหนี้คงค้างที่แน่นอน จึงประเมินหากการตั้งสำรองเพิ่มขึ้นทุกๆ 1,000 ล้านบาท จะกระทบเชิงลบต่อกำไรสุทธิปีนี้ของธนาคารไทยพาณิชย์ ลดลง 2% จากคาดการณ์ปัจจุบันของเราที่ 4.9 หมื่นล้านบาท และทำให้เอ็นพีแอล เพิ่มขึ้น 2% จากคาดเดิมที่ 6 หมื่นล้านบาท
บล.พัฒนสินฯยังคาดความกังวลต่อความสามารถในการชำระตั๋ว B/E และหุ้นกู้ที่จะครบกำหนดของเพซ อาจเป็นปัจจัยเชิงจิตวิทยาด้านลบกดดันราคาหุ้นไทยพาณิชย์ในระยะสั้นจากการที่เป็นเจ้าหนี้รายใหญ่ของเพซ โดยอ้างอิงข้อมูลจากข่าวเพซ มีตั๋ว B/E คงค้างจำนวน 4,087 ล้านบาทและมีหุ้นกู้ที่จะครบกำหนด 300 ล้านบาทในวันที่ 24 กรกฎาคม และครบกำหนด 1,100 ล้านบาท ในวันที่ 3 ตุลาคม 2560
ส่วน บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย)ฯ ระบุว่า ยังไม่เห็นพัฒนาการด้านบวกในเชิงผลกําไรหลังจากไตรมาส 1 ขาดทุนกว่า 575 ล้านบาทและคาดว่าจะขาดทุนต่อเนื่องในไตรมาส 2 แม้โครงการมหานครจะมียอดส่งมอบไปบ้างแล้วแต่การขาดทุนของธุรกิจอาหารมากกว่าที่ประเมิน
อย่างไรก็ตาม ยังคงติดตามความคืบหน้าของบริษัทอย่างต่อเนื่องไม่ว่าจะเป็นการเข้ามาของกลุ่มทุนจีน คือ ซีติค คอนสตรัคชั่น ทว่าแหล่งข่าวระดับสูงจากธนาคารพาณิชย์แห่งหนึ่งระบุ ซีติคไม่น่าจะสนใจที่จะเข้ามาเป็นพันธมิตรร่วมทุนกับเพซ
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 37 ฉบับที่ 3,278 วันที่ 13 - 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2560