“ไทยแลนด์ พริวิเลจ คาร์ด”แถลงผลประกอบการ ปี 2560 ยังคงโตอย่างต่อเนื่อง คิดเป็นอัตราการเติบโตเฉลี่ยกว่า 64% ขณะที่ยอดกำไรเพิ่มขึ้นกว่า 93% หลังเปิดตัว 4 บัตรใหม่ในช่วงต้นปี เพิ่มช่องทางขาย แต่งตั้งตัวแทนขายระดับโลก 2 รายซ้อน Henley & Partners และ IBC Aviation พร้อมเดินสายโรดโชว์ร่วมกับ ททท. เผยปีหน้ามุ่งขยายฐานสมาชิกกลุ่ม นักลงทุน-เจ้าของกิจการ ผู้เกษียณอายุที่ต้องการมาพำนักในไทย รวมทั้งกลุ่มที่ต้องการมาอยู่เป็นครอบครัว พร้อมดันแผนทำ Wealth management ตอบโจทย์ลูกค้ากลุ่ม residency ให้เป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้น เชื่อมั่นการใช้จ่ายของสมาชิกจากการลงทุนและการท่องเที่ยว รวมถึงการใช้ชีวิตอยู่ในเมืองไทยเป็นระยะเวลานานๆ จะสามารถดึงเม็ดเงินต่างชาติเข้ากระตุ้นเศรษฐกิจประเทศได้มหาศาล
นายพฤทธิ์ บุปผาคำ ผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไทยแลนด์ พริวิเลจ คาร์ด จำกัด (ทีพีซี) เปิดเผยถึงผลประกอบการประจำปี 2560 (1 ตุลาคม 2559-30 กันยายน 2560) ว่า บริษัทฯมีรายได้รวมจากการดำเนินการอยู่ที่ 662.95 ล้านบาท ซึ่งสูงกว่าเป้าหมายที่วางไว้ที่ 400 ล้านบาท หรือคิดเป็น 65.73 % จากเป้าหมายและคิดเป็นอัตราการเติบโต 64.32% จากปี 2559 ที่มีรายได้รวม 403.44 ล้านบาท (จากเป้าหมายปี 2559 ที่ตั้งไว้ 250 ล้านบาท) และมีผลกำไร389.83 ล้านบาทโดยคิดเป็นอัตราเพิ่มขึ้นกว่า 93.60 %จากปี 2559 ที่มีกำไร 201.40 ล้านบาท ทั้งนี้ในปี 2560 บริษัทมีการดำเนินการด้านงบลงทุน (Corporate Investment) กว่า 60 ล้านบาท
ซึ่งหากมีการหักงบลงทุนในส่วนนี้ออก บริษัทจะมีกำไรจากการดำเนินการจริงถึง 449.83 ล้านบาท หรือ 123.35 % จากปี 2559 โดยกำไรที่เพิ่มขึ้นมาจากยอดรายได้ที่เพิ่มขึ้นจากการขายสมาชิกใหม่ 1,021 รายค่าธรรมเนียมสมาชิก และความสามารถในการบริหารต้นทุนในการดำเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ทำให้ต้นทุนในปีที่ผ่านมาไม่ได้เพิ่มขึ้นมากนัก โดยมีรายจ่ายที่เพิ่มขึ้นจากปีก่อนอยู่ที่ 35% โดยหากหักค่าใช้จ่ายด้านงบลงทุนของปี 2560 ออกเท่ากับว่ามีรายจ่ายเพิ่มเพียง 5.48% เท่านั้น โดยปี 2561 คาดว่าค่าใช้จ่ายจะลดลง เนื่องจากมีค่าใช้จ่ายด้านการลงทุนเพียง 5 ล้านบาท ทั้งนี้ในปี 2560 บริษัทสามารถล้างผลขาดทุนสะสมทางบัญชีเหลือที่ 770.92 ล้านบาท จากปีที่แล้ว (ปี 2559) ซึ่งมีอยู่ 890.93 ล้านบาท
ด้านของสิทธิประโยชน์ของสมาชิก บริษัทได้มีการสรรหาปรับปรุงสิทธิประโยชน์ต่างๆอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะสมาชิกบัตรหลักอีลิท อัลทิเมท พริวิเลจ (Elite Ultimate Privilege) 2 ล้านบาทมีการเพิ่มเติมทางเลือกด้านสิทธิประโยชน์มากขึ้นด้วยโปรแกรม Adventure Thailand, Relaxation และ Healthier เช่น การสอนกอล์ฟ การสอนทำอาหาร และการสอนขี่ม้า เป็นต้น
ยอดสมาชิกของไทยแลนด์ อีลิทคาร์ดฯ ตั้งแต่เริ่มเปิดดำเนินการในปี 2546 จนถึงสิ้นปีงบประมาณ 2560 (30 ก.ย. 2560) มียอดสมาชิกรวมทั้งสิ้น 4,877 คน(โดยแบ่งเป็นสมาชิกรุ่นแรก 2,508 คน และสมาชิกรุ่นใหม่ซึ่งนับตั้งแต่ปี 2013 เป็นต้นมาถึงวันที่ 30 กันยายน 2560 รวม 2,369 คน)เพิ่มขึ้น1,021 คนจากปีงบประมาณ 2559 ที่มียอดสมาชิก 3,856 คน โดยปัจจุบันณวันที่ 20 พฤศจิกายน 2560 มีสมาชิกรวมทั้งหมด 5,040 คน (สมาชิกรุ่นแรก 2,459 คน และสมาชิกกรุ่นใหม่ 2,501 คน) โดยมีอัตราสมาชิกรุ่นใหม่มากกว่าสมาชิกรุ่นแรกแล้ว โดยบัตรที่ทำยอดขายได้สูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่
-บัตร “อีลิทอีซี่ แอสเซส (Elite Easy Access)” ราคา 5 แสนบาท อายุบัตร 5 ปี สำหรับท่านที่เดินทางคนเดียว เข้าออกในประเทศไทยระยะสั้น
- บัตร “อีลิทซูพีเรียริตี้เอ็กซ์เทนชั่น (Elite Superiority Extension)” ราคา 1 ล้านบาท อายุบัตร 20 ปี เหมาะสำหรับกลุ่มเกษียณอายุ หรือผู้ที่ต้องการพำนักในประเทศไทยในระยะยาว
-บัตร “อีลิทแฟมิลี เอ็กซ์เคอร์ชั่น (Elite Family Excursion)” ราคา 8 แสนบาท อายุบัตร 5 ปี เพื่อการเข้าออกในประเทศไทยระยะสั้น เหมาะกับกลุ่มครอบครัวโดยเฉพาะ ด้วยราคาพิเศษสำหรับ 2 ท่านเป็นต้นไป กลุ่มนักธุรกิจ ครอบครัวที่ลูกศึกษาในไทย หรือผู้ที่เข้ามาพักผ่อนระยะสั้นๆ เป็นครอบครัว
นายพฤทธิ์ กล่าวถึงกุญแจสำคัญที่ช่วยให้ผลการดำเนินงานในปี 2560 ประสบความสำเร็จเกินเป้าหมายว่า เป็นผลจากการเปิดตัวบัตรใหม่ เมื่อช่วงต้นปีได้รับผลตอบรับที่ดีจะเห็นได้จากบัตรที่ทำยอดขายได้สูงสุด 3 อันดับแรกนั้น เป็นบัตรที่เปิดตัวใหม่ 2 ประเภทด้วยกัน นั่นคือ บัตร “อีลิทซูพีเรียริตี้เอ็กซ์” และบัตร “อีลิทแฟมิลี เอ็กซ์เคอร์ชั่น) รวมถึงการปรับปรุงสิทธิประโยชน์ของบัตรหลักให้มีความหลากหลายและตอบรับกับความต้องการของท้องตลาดมากขึ้น การเพิ่มช่องทางการขาย และตัวแทนจำหน่ายใหม่ๆ จากการที่มี Henley & Partners ที่มีออฟฟิศอยู่ 28 สาขาทั่วโลกเข้ามาช่วยทำตลาด และยังมี IBCAviation ที่เข้ามาดูแลเพิ่มในส่วนของตลาดยุโรป เช่น ฝรั่งเศส ลักเซมเบิร์ก เบลเยี่ยม โมนาโค สวิตเซอร์แลนด์ และประเทศในกลุ่ม French territories speaking
รวมถึงการเดินทางไปโรดโชว์ยังประเทศกลุ่มเป้าหมาย และร่วมกิจกรรมในงานอีเว้นท์ของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เช่น ฝรั่งเศส สวิตเซอร์แลนด์ ญี่ปุ่น ฮ่องกง และจีน (ปักกิ่ง และเซี่ยงไฮ้) ซึ่งเป็นการสนับสนุนให้บัตรไทยแลนด์ อีลิทคาร์ดมีความชัดเจนและความแข็งแกร่งขึ้น จากการเป็นหน่วยงานหนึ่งของภาครัฐที่มี ททท. ถือหุ้น 100% ซึ่งทิศทางการดำเนินงานส่วนหนึ่งเพื่อสนับสนุนนโยบายของ ททท. คือ ต้องการโปรโมทให้นักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาเที่ยวให้มากขึ้น อยู่นานขึ้น และเป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวที่มีคุณภาพมากยิ่งขึ้น ซึ่งแม้จะเป็นการเข้ามาในระยะสั้น แต่ก็สามารถสร้างเม็ดเงินให้กับประเทศไทยอย่างมหาศาล ซึ่งไทยแลนด์ อีลิทคาร์ดก็สามารถสนับสนุนส่งเสริมกลุ่มนักท่องเที่ยวคุณภาพสูงนี้ได้เป็นอย่างดี
“ผลจากไปโรดโชว์พบว่าประเทศไทยและโครงการบัตรฯ ได้รับเสียงตอบรับที่ดีมาก จากการที่มีคนติดต่อเข้ามาสมัครเป็นทั้งสมาชิกบัตรฯ และตัวแทนขายเนื่องจากประเทศไทยมีเครดิตที่ดีเรื่องความสวยงามของธรรมชาติ วัฒนธรรมที่มีเอกลักษณ์สภาพแวดล้อมน่าอยู่เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว โดยเฉพาะจีนถือเป็นตลาดที่มีศักยภาพสูงมาก เนื่องจากในระยะหลังมีเศรษฐีใหม่ชาวจีนเกิดขึ้นมาก และประเทศไทยก็เป็น 1 ในจุดหมายที่ชาวจีนนิยมมาท่องเที่ยว ทำให้สมาชิกในปี 2560 จีนขึ้นมาเป็นอันดับ 1 รองลงมาคือ อังกฤษ อเมริกา ฝรั่งเศส และญี่ปุ่น จากปี 2559 ที่จีนอยู่อันดับ 2 ส่วนหนึ่งมาจากการที่เรามีตัวแทนขายอย่างบริษัท Globe Visa ซึ่งเป็นบริษัทขนาดใหญ่อันดับต้นของโลก ซึ่งให้บริการด้าน Residency และ Citizenship Program แก่ชาวจีน” นายพฤทธิ์กล่าวและเสริมว่า
นอกจากนี้บริษัทฯ ยังได้รับประโยชน์จากการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ที่ทำให้อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวมีอัตราการเจริญเติบโตสูง และยังคงเป็นประเทศที่ได้รับความนิยมและเป็นที่รู้จักจากนักท่องเที่ยวทั่วโลกเป็นอย่างดี อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวยังคงมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง ด้วยศักยภาพของทำเลที่ตั้ง ความหลากหลายของทรัพยากรท่องเที่ยว และวัฒนธรรมไทยที่เป็นเอกลักษณ์ เมื่อการท่องเที่ยวไทยมีแนวโน้มในภาพรวมที่สูงขึ้น ก็ส่งผลให้การเติบโตของบริษัทฯสูงตามไปด้วย เนื่องจากการท่องเที่ยวและการลงทุนย่อมเป็นไปในทิศทางเดียวกัน ซึ่งการที่รายได้ของบริษัทฯเพิ่มสูงขึ้นได้ขนาดนี้ หมายถึงว่ากลุ่มนักท่องเที่ยวคุณภาพที่มาเที่ยวบ้านเรา มีความต้องการที่จะมาอยู่เมืองไทยมากขึ้นด้วย
สำหรับแผนการดำเนินงานในปี 2561 นายพฤทธิ์กล่าวว่า ไทยแลนด์ อีลิทคาร์ดฯ ยังคงมุ่งขยายฐานลูกค้ากลุ่มนักลงทุน เจ้าของกิจการ ผู้เกษียณอายุที่ต้องการมาพำนักในประเทศไทย และกลุ่มที่ต้องการมาอยู่เป็นครอบครัวซึ่งส่วนใหญ่ไม่ได้มาเพื่อท่องเที่ยวอย่างเดียว แต่จะเข้ามาเป็นลักษณะของ Resident in Thailand เนื่องจากคนกลุ่มนี้คือกลุ่มที่จะมาช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศไทย เช่นการที่กลุ่มนี้มาอยู่ระยะยาวกว่าการท่องเที่ยวปกติ ย่อมต้องมีการซื้ออสังหาริมทรัพย์(property) หากตีราคาขั้นต่ำที่ 5-10 ล้านบาทโดยสมาชิกไทยแลนด์ อีลิทคาร์ดฯ เพียง 30% ที่ซื้ออสังหาริมทรัพย์อยู่ที่ 1,500 คน ก็เท่ากับยอดที่ซื้อกว่า 7,500 ล้านบาท ยังไม่รวมถึงการใช้บริการและการลงทุนใช้จ่ายในด้านอื่นๆ
โดยในอนาคตบริษัทฯมีแผนที่จะทำ Wealth management ให้กับลูกค้ากลุ่มนี้เพื่อรองรับการทำ Management ในเมืองไทย โดยการหาพันธมิตรทางธุรกิจเข้ามาช่วยดูแล เพื่อตอบรับลูกค้ากลุ่มนี้ เพราะมองความเป็น Thailand Residencyซึ่ง product ที่ทำก็เพื่อตอบโจทย์กลุ่มนี้ให้เป็น Residency ที่ชัดเจนขึ้นจาก Vision ของบริษัทประจำปี 2561ที่ว่า “Simply Extraordinary Country Residency program Crafted for Friends of Thailand” “บัตรสมาชิกเหนือระดับสำหรับบุคคลสำคัญของประเทศไทย”
ปัจจุบันบัตรไทยแลนด์ อีลิทมีทั้งสิ้น 7ประเภท มีความหลากหลายทั้งด้านราคาและสิทธิประโยชน์ โดยมีราคาตั้งแต่ 5 แสน-2 ล้านบาท ครอบคลุมทุกกลุ่มเป้าหมาย โดยกลุ่มเป้าหมายมีทั้งชาวต่างชาติที่มีฐานะปานกลาง จนถึงฐานะร่ำรวยรวมถึงกลุ่มที่เข้ามาเป็นครอบครัว โดยเป็นกลุ่มชาวต่างชาติที่ชื่นชอบและรักเมืองไทย ต้องการอยู่อาศัยและลงทุนในประเทศไทย จากการซื้อที่อยู่อาศัยประเภทคอนโด การเช่าบ้านและคอนโด และการใช้จ่ายในประเทศไทย นับเป็นการลงทุนในประเทศไทยอย่างหนึ่ง ในขณะที่นักท่องเที่ยวทั่วไปใช้แค่ระยะเวลาไม่กี่วันในประเทศไทย ในขณะที่กลุ่มสมาชิกพำนักต่อเนื่องหลายปี รวมถึงมีการลงทุนในรูปแบบต่างๆ (Investment Immigration) ทางเศรษฐกิจให้แก่ประเทศไทย