การคาดการณ์ว่าในปี 2564 ประเทศไทยจะมีผู้ที่มีอายุมากกว่า 60 ปี เกิน 20% ของจำนวนประชากรทั้งหมด ส่งผลให้ไทยก้าวสู่สังคมผู้สูงวัย (Aging Society) สมบูรณ์แบบ ทำให้หลายองค์กรทั้งภาครัฐและเอกชนขยับตัวนำเสนอสินค้าและบริการรองรับ ส่งผลธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับผู้สูงวัยมีการขยายตัว โดยเฉพาะธุรกิจให้บริการดูแลผู้สูงวัยที่เกิดขึ้นเป็นจำนวนมากในปีที่ผ่านมา ทั้งจากผู้ให้บริการโรงพยาบาล, อสังหาริมทรัพย์ ฯลฯ
ล่าสุดบริษัท พริ้นซิเพิล แคปิตอล จำกัด (มหาชน) (PRINC) ผู้ดำเนินธุรกิจโรงพยาบาลและธุรกิจเพื่อสุขภาพภายใต้บริษัท พริ้นซิเพิล เฮลท์แคร์ จำกัด ได้ลงนามในบันทึกข้อตกลง (MOU) ร่วมกับ บริษัท นิฮอน เคเอ จำกัด (Nihon Keiei) บริษัทในเครือ NK Group จากประเทศญี่ปุ่น ผู้ประกอบการด้านการดูแลผู้สูงอายุที่มีประสบการณ์มากว่า 50 ปี เพื่อดำเนินธุรกิจด้านการดูแลผู้สูงอายุในประเทศไทย
โดยนายสาธิต วิทยากร ประธานคณะกรรมการบริหาร PRINC กล่าวว่า PRINC ร่วมทุนกับนิฮอน เคเอ ในสัดส่วน 51 : 49 จัดตั้งบริษัทใหม่ขึ้นมา เพื่อตั้งศูนย์ดูแลสุขภาพผู้สูงอายุ โดยคาดว่าจะเริ่มดำเนินการได้ภายในปี 2563 โดยเน้นการดูแลภายใต้แนวคิด Self-reliance ให้ผู้สูงอายุกลับมาแข็งแรงและกลับไปใช้ชีวิตกับครอบครัวได้ ไม่ใช่เพียงแค่บริการดูแลทั่วไปเท่านั้น แต่ต้องการที่จะดูแลผู้สูงอายุในแบบของการฟื้นฟู หรือ Rehabilitation Care เพื่อให้ผู้สูงวัยมีร่างกายและจิตใจที่เข้มแข็ง สามารถพึ่งพาตนเองให้ได้มากที่สุด ซึ่งเป็นรูปแบบที่จะให้ผู้สูงอายุเข้ามาพักในระยะเวลาสั้นๆ ประมาณ 3-9 เดือน
สาธิต วิทยากร
ทั้งนี้ บริษัท นิฮอน เคเอฯ เป็นบริษัทในเครือ NK Group นับเป็นหนึ่งในพันธมิตรใหม่ของบริษัท ซึ่งเป็นไปตามนโยบายการดำเนินธุรกิจของพริ้นซิเพิล แคปิตอล หลังจากย้ายหลักทรัพย์สู่หมวดธุรกิจการแพทย์ (Health Care Services) มุ่งให้ความสำคัญกับธุรกิจโรงพยาบาลและธุรกิจเพื่อสุขภาพมากขึ้น โดยมีแผนจับมือพันธมิตรใหม่ทั้งในและต่างประเทศในการร่วมกันพัฒนาสถานดูแลผู้สูงอายุ เพื่อให้สอดรับกับธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพ ที่มีอัตราการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง และยังสอดคล้องกับนโยบายภาครัฐ Healthcare 4.0 ที่มีเป้าหมายให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางทางการแพทย์และการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ
ด้านนายมาซาโตชิ ฮิราอิ ประธาน บริษัท นิฮอน เคเอ จำกัด กล่าวว่า บริษัทมีนโยบายชัดเจนที่ต้องการขยายธุรกิจการดูแลผู้สูงอายุ (Elderly Care) ในประเทศกลุ่มอาเซียน และมองว่าประเทศไทยมีศักยภาพและมีความน่าสนใจในการลงทุน เนื่อง จากเป็นประเทศที่กำลังเข้าสู่สังคม ผู้สูงอายุ โดยได้ทำการศึกษาตลาดในประเทศไทยมากว่า 2 ปี ปัจจุบันบริษัทดำเนินธุรกิจให้คำปรึกษาแก่ธุรกิจโรงพยาบาล คลินิก และสถานพยาบาล/ดูแลผู้สูงอายุในประเทศญี่ปุ่น รวมทั้งมีการดำเนินงานด้านการดูแลผู้สูงอายุ (Nursing Home) ผู้สอบและรับทำบัญชี ร้านขายยาโดยผ่านบริษัท ย่อย นอกจากนี้ยังมีการขยายธุรกิจ ในเวียดนาม เพื่อดำเนินการด้านศูนย์ฝึกอบรมการดูแลผู้สูงอายุ (Care Helper) อีกด้วย
หน้า 31-32 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 40 ฉบับที่ 3,537 วันที่ 5-8 มกราคม 2563