วันที่ 21 เม.ย. 2563 นายสัตวแพทย์สรวิศ ธานีโต อธิบดีกรมปศุสัตว์ เผยถึงความคืบหน้า การป้องกันและควบคุมโรคกาฬโรคแอฟริกาในม้าว่า ตามที่ ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้สั่งการให้กรมปศุสัตว์ควบคุมและป้องกันโรค AHS ในม้าอย่างรวดเร็วที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ เนื่องจากมีความห่วงใยผู้เลี้ยงม้าและอาชีพ ที่เกี่ยวข้องทั่วประเทศ กรมปศุสัตว์ได้ร่วมมือกับทุกภาคส่วน ภาครัฐและเอกชนรวมถึงคณาจารย์ คณะสัตวแพทย์จากมหาวิทยลัยต่างๆ หมอม้าผู้ชำนาญการชั้นนำของประเทศ สมาคมกีฬาขี่ม้าแห่งประเทศไทย สมาคมกีฬาม้าแข่งไทย สมาคมกีฬาโปโลแห่งประเทศไทย และผู้แทนผู้เลี้ยงม้าทั่วประเทศได้ร่วมมือกันวางแผนและดำเนินการเฝ้าระวังป้องกัน และควบคุมโรค ตั้งแต่ผลการยืนยันทางห้องปฏิบัติการว่าพบโรค AHS
ล่าสุดได้รับการบริจาควัคซีนจาก นายพงษ์เทพ เจียรวนนท์ อุปนายกสมาคมกีฬาขี่ม้าแห่งประเทศไทย รองประธานกรรมการเครือเจริญโภคภัณฑ์ ผู้ผลิตอาหารม้าแมกซ์วิน (MAXWIN) กรมปศุสัตว์จึงได้นำไปฉีดป้องกันโรคกาฬโรคแอฟริกาในม้าครั้งแรกของไทย ที่สถานีเพาะเลี้ยงม้าและสัตว์ทดลอง สถานเสาวภา สภากาชาดไทย อำเภอชะอำ จังหวัดเพชรบุรี ซึ่งตั้งอยู่ห่างจากจุดเกิดโรค อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์เป็นระยะทาง 20 กิโลเมตร และมีม้าจำนวน 560 ตัว ซึ่งม้าดังกล่าวเป็นม้าที่ใช้สำหรับผลิตเซรุ่มป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าและเซรุ่มแก้พิษงู จากการติดตามผลการฉีดวัคซีนจากสัตวแพทย์ประจำสถานเสาวภา ปรากฎว่าไม่มีม้าที่แสดงอาการแพ้วัคซีน และจากการตรวจสุขภาพไม่พบสัตว์ป่วยหรือสงสัยว่าป่วยเพิ่มขึ้น
ดังนั้น กรมปศุสัตว์มีแผนในการฉีดวัคซีนป้องกันให้แก่ม้าในพื้นที่เกิดโรครัศมี 50 กิโลเมตรจากจุดเกิดโรค และเพื่อให้การดำเนินการดังกล่าวเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล จึงได้มีการจัดการประชุมชี้แจงแผนการป้องกันและควบคุมโรคกาฬโรคแอฟริกาในม้า (AHS) และมาตรการ หลักเกณฑ์ เงื่อนไขการฉีดวัคซีน ให้แก่สำนักงานปศุสัตว์เขต และสำนักงานปศุสัตว์จังหวัดในพื้นที่เป้าหมายการฉีดวัคซีน โดยได้กำชับให้ดำเนินการฉีดวัคซีนให้เป็นไปตามขั้นตอนที่กรมปศุสัตว์กำหนดไว้ดังนี้
1. ทำความเข้าใจกับเจ้าของม้า เช่น เหตุผลที่ต้องฉีดวัคซีน การปฏิบัติกับม้าที่ฉีดวัคซีน และผลกระทบภายหลังฉีดวัคซีน รวมทั้ง อาจมีการสูญเสียม้าจากผลข้างเคียงของการใช้วัคซีน 2. ให้นำม้าเข้ามุ้ง เพื่อป้องกันแมลงกัด ก่อนเก็บเลือดอย่างน้อย 3 วัน และภายหลังฉีดวัคซีนอย่างน้อย 30 วัน 3. ขึ้นทะเบียนม้าทุกตัวโดยฝังไมโครชิพและลงข้อมูลในฐานข้อมูล NID
4.ก่อนฉีดวัคซีนจะต้องได้รับความยินยอมจากเจ้าของ และต้องตรวจสุขภาพสัตว์ เช่น วัดอุณหภูมิตัวสัตว์หากพบมีไข้ไม่ให้ฉีดวัคซีนและกักแยกสัตว์ในมุ้งเพื่อดูอาการ เก็บตัวอย่างเลือดม้าส่งห้องปฏิบัติการเพื่อตรวจดูการติดเชื้อ ในกรณีที่สัตว์ติดเชื้อ ให้แยกสัตว์ออกจากฝูง และดำเนินการป้องกันแมลงดูดเลือดเพื่อลดการแพร่จะจายของโรค 5. ดำเนินการฉีดวัคซีนในสัตว์ที่ไม่พบการติดเชื้อ และติดตามอาการข้างเคียงภายหลังจากฉีดวัคซีนอย่างต่อเนื่องเป็นเวลา 72 ชั่วโมง (หากแสดงอาการข้างเคียง ให้ดูแลรักษาตามอาการ) ในกรณีที่ม้าตั้งท้องให้พิจารณาการให้วัคซีนตามดุลยพินิจจากสัตวแพทย์
6.หลังจากฉีดวัคซีนภายใน 1 เดือน ให้เก็บตัวอย่างเลือด เพื่อดูการตอบสนองของภูมิคุ้มกันหลังจากฉีดวัคซีน หากพบมีระดับภูมิคุ้มกันไม่อยู่ในระดับที่ป้องกันโรคได้ให้ฉีดวัคซีนกระตุ้นซ้ำ 7.ควบคุมการเคลื่อนย้ายสัตว์ โดยห้ามเคลื่อนย้ายสัตว์ที่ฉีดวัคซีนออกจากคอกเลี้ยงที่มีมุ้ง เป็นระยะเวลา 30 วัน และห้ามเคลื่อนย้ายสัตว์ออกจากพื้นที่ จนกระทั่งไม่มีสัตว์ป่วยเพิ่ม เป็นระยะเวลา 90 วัน
อีกทั้งให้ปศุสัตว์จังหวัดทุกจังหวัดเร่งทำความเข้าใจกับผู้เลี้ยงม้าในพื้นที่เป้าหมายที่จะฉีดวัคซีน ประชาสัมพันธ์ สร้างการรับรู้และความเข้าใจการใช้วัคซีนป้องกันโรคและให้คำแนะนำการเตรียมความพร้อมก่อนและหลังการฉีดวัคซีน และข้อปฏิบัติภายหลังการฉีดวัคซีนให้เป็นไปตามมาตรการข้อกำหนดเงื่อนไขการฉีดวัคซีน
ในการกำกับดูแลเบิกจ่ายวัคซีน วัคซีนที่ได้รับการบริจาคจะทำการเก็บรักษาไว้ที่สำนักเทคโนโลยีชีวภัณฑ์สัตว์ อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา ให้ปศุสัตว์จังหวัดทำเรื่องเบิกจ่ายตามแบบฟอร์มผ่านปศุสัตว์เขตและให้ ผอ.สำนักควบคุม ป้องกันและบำบัดโรคสัตว์ เป็นผู้อนุมัติ ในการฉีดวัคซีนทุกครั้งเจ้าหน้าที่กรมปศุสัตว์ต้องเข้าไปกำกับดูแลให้เป็นไปตามมาตรการข้อกำหนดเงื่อนไขการฉีดวัคซีนของกรมปศุสัตว์พร้อมทั้งรายงานการฉีดวัคซีนตามแบบฟอร์ม กคร. 4 กคร. 5 เพื่อให้สามารถตรวจสอบย้อนกลับได้
นอกจากนี้ได้กำชับให้ปศุสัตว์จังหวัดกำกับดูแลการใช้วัคซีน ไม่ให้เกิดการรั่วไหลไปฉีดในสัตว์นอกพื้นที่เป้าหมายตามแผนฯอย่างเคร่งครัด เพราะจะก่อให้เกิดผลกระทบและความเสียหายอย่างร้ายแรงต่อการขอคืนสถานภาพปลอดโรคจาก OIE หากฝ่าฝืนจะดำเนินการทางวินัยและอาญาอย่างเด็ดขาด
“กรมปศุสัตว์ ขอขอบคุณที่ได้รับความร่วมมือกับทุกภาคส่วน ภาครัฐและเอกชนรวมถึงคณาจารย์ คณะสัตวแพทย์จากมหาวิทยลัยต่างๆ หมอม้าผู้ชำนาญการชั้นนำของประเทศ สมาคมกีฬาขี่ม้าแห่งประเทศไทย สมาคมกีฬาม้าแข่งไทย สมาคมกีฬาโปโลแห่งประเทศไทยตลอดจนผู้เลี้ยงม้าที่ช่วยกัน สนับสนุนในการควบคุม ป้องกันโรคด้วยดี กรมปศุสัตว์มั่นใจว่าจากความร่วมมือ ร่วมใจของทุกฝ่ายจะให้ประเทศไทยสามารถควบคุมและกำจัดโรคนี้หมดไปจากประเทศไทยในที่สุด” อธิบดีกรมปศุสัตว์กล่าว