นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ เปิดเผยภายหลังการจัดสัมมนา “EFTA New Market in New Normal : การขยายตลาดใหม่รับชีวิตวิถีใหม่กับกลุ่มสมาคมการค้าเสรีแห่งยุโรป” ว่า ขณะนี้กรมฯ ได้มอบให้สถาบันสถาบันอนาคตศึกษาเพื่อการพัฒนา (IFD) ศึกษาประโยชน์และผลกระทบจากการฟื้นการเจรจาความตกลงการค้าเสรี (FTA) ไทย-สมาคมการค้าเสรีแห่งยุโรป (EFTA) ซึ่งกำหนดแล้วเสร็จภายในสิ้นปีนี้ และยังได้จัดรับฟังความเห็นจากทุกภาคส่วน เพื่อประกอบการนำเสนอฝ่ายนโยบาย พิจารณามีมติเกี่ยวกับการฟื้นการเจรจา FTA ไทย-EFTA ต่อไป
โดยการทำ FTA กับ EFTA จะช่วยรักษาโอกาสทางการแข่งขันของสินค้าและบริการของไทยในตลาด EFTA ไม่ให้สูญเสียแก่ประเทศหลักๆ รวมทั้งประเทศอาเซียนที่มี FTA กับ EFTA แล้ว ได้แก่ อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ และประเทศอาเซียนที่อยู่ระหว่างการเจรจา ได้แก่ เวียดนามและมาเลเซีย ส่วนประเทศอื่นๆ ที่ EFTA มี FTA ด้วย เช่น ฮ่องกง เกาหลีใต้ ชิลี เม็กซิโก และตุรกี เป็นต้น
นอกจากนี้ จะช่วยขจัดความไม่แน่นอนที่อาจเกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขในโครงการสิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากร (GSP) ของ EFTA (สวิตเซอร์แลนด์และนอร์เวย์) ที่ไทยได้รับอยู่ในสินค้าต่างๆ เช่น สิ่งทอและเครื่องนุ่งห่มและสินค้าเกษตรและอาหารบางรายการ รวมถึงจะช่วยขยายโอกาสทางการตลาดเพิ่มเติมในการส่งออกสินค้าและบริการของไทย และโอกาสในการลงทุนดำเนินธุรกิจของผู้ประกอบการไทยใน EFTA รวมทั้งจะช่วยดึงดูดการลงทุนของ EFTA ในไทย โดยเฉพาะในสาขาที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูงที่ EFTA มีความเชี่ยวชาญ ซึ่งจะทำให้มีการขยายตัวทางเศรษฐกิจและการพัฒนาขีดความสามารถของไทย
สำหรับการค้ารวมระหว่างไทยกับ EFTA ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา (2558-2562) มีมูลค่าเฉลี่ยประมาณปีละ 9,892 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นเฉลี่ย 8.6% ต่อปี โดยในปี 2562 การค้ารวมไทย-EFTA มีมูลค่า 9,770.20 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลง 2.22% โดยไทยได้เปรียบดุลการค้า 1,570.18 ล้านเดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็นสัดส่วนการค้า 2.02% และในช่วง 6 เดือนของปี 2563 (ม.ค.–มิ.ย) การค้ารวมมีมูลค่า 5,322.94 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 9.11% โดยไทยได้เปรียบดุลการค้า 3,239.22 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สินค้าส่งออกสำคัญ เช่น อัญมณีและเครื่องประดับ นาฬิกาและส่วนประกอบ รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ เครื่องใช้สำหรับเดินทาง และเครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ และสินค้านำเข้าสำคัญ เช่น เครื่องเพชรพลอย อัญมณี เงินแท่งและทองคำ นาฬิกาและส่วนประกอบ ผลิตภัณฑ์เวชกรรมและเภสัชกรรม เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ และเนื้อสัตว์สำหรับการบริโภค เป็นต้น
ปัจจุบัน EFTA) ประกอบด้วย ประเทศสมาชิก 4 ประเทศ ได้แก่ สวิตเซอร์แลนด์ นอร์เวย์ ไอซ์แลนด์ และลิกเตนสไตน์ โดย EFTA เป็นกลุ่มประเทศขนาดเล็ก แต่มีขนาดเศรษฐกิจในระดับชั้นนำของโลก ในปี 2562 มี GDP ต่อหัว (GDP per capita) เป็นอันดับ 2 ของโลกประมาณ 81,000 เหรียญสหรัฐ มีศักยภาพสูงด้านการผลิตสินค้าและบริการมีความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี นวัตกรรม และการศึกษา รวมทั้งเป็นผู้ลงทุนรายใหญ่ของโลก มีระบบเศรษฐกิจแบบเปิด โดยมีภาคบริการเป็นส่วนสำคัญ เช่น สาขาการเงิน สาขาประกันภัย และสาขาโทรคมนาคม เป็นต้น
ทั้งนี้ ไทยและ EFTA ได้เคยเจรจาความตกลงการค้าเสรีระหว่างกันมาแล้ว 2 รอบ ในปี 2548–2549 โดยการเจรจาครอบคลุมในทุกเรื่อง เช่น การเปิดตลาดสินค้า การค้าบริการ การลงทุน ทรัพย์สินทางปัญญา แต่หลังจากมีการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองของไทยเมื่อเดือนก.ย.2559 ทำให้การเจรจาหยุดชะงักลง และภายหลังการเลือกตั้งและจัดตั้งรัฐบาลของไทยในปี 2562 EFTA ได้แสดงความพร้อมในการฟื้นการเจรจา แต่ไทยก็ต้องปรับตัวรับมือการเปิดตลาดและกฎระเบียบต่างๆ เพราะ EFTA เป็นกลุ่มประเทศที่มีมาตรฐานสูง ใกล้เคียงกับสหภาพยุโรป