การดูแลความเป็นอยู่ของประชาชนไม่ว่าจะเป็นการดูแลราคาสินค้า ช่วยลดค่าครองชีพ การดูแลเสถียรภาพราคาสินค้าเกษตรที่มีความผันผวนถือเป็นหน้าที่หลักในหลายภารกิจของกรมการค้าภายใน และมีความท้าทายสำหรับ นายวัฒนศักย์ เสือเอี่ยม รองอธิบดี ว่าที่อธิบดีกรมการค้าภายในคนใหม่ (ครม.อนุมัติแล้ว รอโปรดเกล้าฯ) ที่จะมารับไม้ต่อจากนายวิชัย โภชนกิจ ที่เกษียณอายุราชการ
นายวัฒนศักย์ เสือเอี่ยม รองอธิบดีกรมการค้าภายใน รักษาราชการแทนอธิบดีกรมการค้าภายใน เผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ถึง ภารกิจในช่วง 3 เดือนสุดท้ายของปีนี้ว่า นโยบายเร่งด่วนที่กรมจะเร่งดำเนินการช่วงปลายปีนี้คือ เตรียมจัดงานแสดงสินค้าอุปโภคบริโภค (Grand Sale) ส่งท้ายปีในช่วงเดือนธันวาคมนี้ โดยจะขนสินค้าอุปโภคบริโภคจากผู้ประกอบการมาลดราคา และอาจจะมีการเปิดโครงการพาณิชย์ลดราคา! ช่วยประชาชน ล็อต 7 ภายในงานด้วย จะเป็นงานใหญ่งานสุดท้ายของปีนี้ เพื่อให้ประชาชนได้จับจ่ายซื้อสินค้าราคาถูกเพื่อลดค่าครองชีพในช่วงวิกฤติเศรษฐกิจ โดยวัน เวลา และสถานที่จะแจ้งให้ทราบอีกครั้ง
“ส่วนมาตรการธงฟ้ากรมยังคงเดินหน้าต่อ เพื่อดูแลค่าครองชีพให้กับประชาชน ในเบื้องต้นที่กรมกำหนดไว้ ได้เตรียมแผนจะจัดคาราวานธงฟ้า 16 ครั้ง กระจายไปในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมเพื่อจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภคและวัสดุก่อสร้างและของใช้ที่จำเป็นหลังน้ำลดให้กับประชาชนในพื้นที่ต่างๆ ในราคาประหยัด”
กรมได้เตรียมความพร้อมในการดูแลสินค้าเกษตร โดยเฉพาะสินค้าหลัก 5 รายการ ได้แก่ ข้าว มันสำปะหลัง ยางพารา ปาล์มน้ำมัน และข้าวโพด ที่ต้องเร่งผลักดันและทำความเข้าใจกับของเกษตรกรโดยเฉพาะการขึ้นทะเบียนเกษตรเพื่อให้รักษาสิทธิของตนเองให้มากที่สุด ซึ่งกรมจะร่วมกับกรมส่งเสริมสหกรณ์ และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร(ธ.ก.ส.) ร่วมทั้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการให้ความรู้กับเกษตรกรในเรื่องนี้ให้มากขึ้น รวมถึงการร่วมมือกับสหกรณ์เพื่อดูดซับส่วนเกินของผลผลิตช่วยพยุงราคาในพื้นที่
ทั้งนี้กรมมีมาตรการคู่ขนานไปกับการประกันรายได้ เช่น ข้าว ผ่านโครงการการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี เป้าหมาย 1.5 ล้านตัน โดยให้สินเชื่อกับเกษตรกรที่เก็บข้าวไว้ในยุ้งฉางระยะเวลา 1-5 เดือน รัฐชดเชยดอกเบี้ย 2.25% และให้ค่าฝากกรณีชาวนาเก็บข้าวไว้เองตันละ 1,500 บาท เป็นต้น หรือมันสำปะหลัง เช่น โครงการสินเชื่อเพื่อรวบรวมมันสำปะหลังและสร้างมูลค่าเพิ่มโดยสถาบันเกษตรกร วงเงิน 45 ล้านบาท หรือโครงการชดเชยดอกเบี้ยในการเก็บสต๊อก รัฐชดเชยดอกเบี้ย 3% ให้ผู้ประกอบการแปรรูปมันสำปะหลัง เป็นต้น
“ยังมีเรื่องเร่งด่วนที่ต้องดำเนินการอีกหลายเรื่องเช่น โครงการติดตั้งเครื่องมือวัดปริมาณน้ำมันปาล์ม หรือมิเตอร์แบบเรียลไทม์ เพื่อบริหารจัดการและควบคุมสต๊อกน้ำมันปาล์มเพื่อป้องกันปัญหาการลักลอบนำเข้าน้ำมันปาล์มจากต่างประเทศที่อยู่ระหว่างเร่งดำเนินการ”
สำหรับสถานการณ์ราคาผลปาล์มสดในขณะนี้อยู่ที่ 5.20-6 บาทต่อกิโลกรัม (กก.) ราคาน้ำมันปาล์มดิบ (CPO) อยู่ที่ 32 บาทต่อ กก. มีสต๊อกน้ำมันปาล์มมากกว่า 3.5 แสนตัน ซึ่งราคาผลปาล์มในขณะนี้เกษตรกรพอใจเพราะสูงกว่าราคาประกันรายได้ที่รัฐประกันไว้ที่ 4 บาทต่อ กก. ส่วนการนำไปเป็นเชื้อเพลิงในการผลิตกระแสไฟฟ้าขณะนี้ยังไม่มีความจำเป็น