แม้โควิด-19 จะส่งผลกระทบต่อธุรกิจโรงแรมทั่วโลกอย่างมาก แต่บริษัท เอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท จำกัด (มหาชน) หรือ SHR บริษัทในเครือของ บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) ซึ่งปัจจุบัน สิงห์ เอสเตท ถือหุ้นอยู่ 62% และมีรายได้จากธุรกิจโรงแรมอยู่ที่ 26% หลังนำ SHR เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ตั้งแต่เมื่อวันที่ 12 พ.ย.62 แต่ท่ามกลางวิกฤตนี้ SHR ก็ยังคงมองโอกาสในการขยายธุรกิจโรงแรมอย่างต่อเนื่อง
ทุ่มหมื่นล้านขยายธุรกิจ5ปีนี้
ปัจจุบัน SHR มีโรงแรมอยู่ในพอร์ตโฟลิโอ 39 แห่งทั่วโลก ใน 5 ประเทศ ได้แก่ อังกฤษ มัลดีฟส์ ฟิจิ มอริเชียส และไทย รวมห้องพัก 4,647 ห้อง แม้การแพร่ระบาดของโควิด -19 จะฉุดให้แนวโน้มรายได้ไม่เป็นไปตามเป้าหมาย
แต่ SHR ยังคงเดินหน้าขับเคลื่อนธุรกิจภายใต้แผน 5 ปี ที่จะเพิ่มโรงแรม เป็น 2 เท่าภายในปี2568 โดยจะเพิ่มโรงแรมในพอร์ตโฟลิโอ รวมเป็น 82 แห่ง รวม 9 พันห้อง ทั้งลงทุนเองและรับบริหาร วางงบลงทุนไว้ที่ราว 1,000-2,000 ล้านบาทต่อปี หรือราว 5 พัน-1 หมื่นล้านบาทในช่วง 5 ปีนี้
การเดินหน้าตามเป้าหมายแผน 5 ปี SHR มั่นใจว่าแนวโน้มสถานการณ์ของธุรกิจในอนาคตจะมีสัญญาณที่ดีขึ้น จากการพัฒนาวัคซีนสำเร็จ ก็จะทำให้เกิดการเปิดพรมแดนในการเดินทางได้เพิ่มขึ้น ประกอบกับจุดแข็งของบริษัทที่มี SHR ก็เชื่อว่าธุรกิจจะมีทิศทางที่ดีขึ้นหลังโควิด
นายเดิร์ก อังเดร ลีน่า คุยเบอร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท กล่าวว่า โควิด-19 เป็นปัจจัยอุปสรรคที่สร้างความท้าทายในการดำเนินธุรกิจ แต่เรามั่นใจว่า จากจุดแข็งของ SHR ที่วางตำแหน่งสินค้าในระดับบน (Upper Upscale) และการเป็นแบรนด์ไลฟ์สไตล์ที่แตกต่าง จะช่วยให้เรากลับเข้าสู่ธุรกิจได้ง่ายขึ้น ด้วยโครงสร้างเงินทุนที่แข็งแกร่งของเราและอัตราหนี้สินที่ตํ่า นอกจากนั้น เรายังกำลังตั้งเป้าที่จะสร้างอนาคตที่แข็งแรงและยั่งยืนให้กับ SHR ด้วย
กลยุทธ์การดำเนินธุรกิจของSHR จะโฟกัสใน 3 เรื่อง ได้แก่ 1. Upscale Positioning เน้นตลาดระดับบน ทุกคนเข้าถึง มีมาตรฐานความสะอาด และความปลอดภัยสูง 2. Leisure Segment Resorts & Style Hotels ซึ่งเราเน้นตลาดการท่องเที่ยว กลุ่มครอบครัว เน้นเรื่องของสุขภาพ และไลฟ์สไตล์ กลุ่มเซ็กเม้นท์นี้จะฟื้นตัวได้เร็วกว่ากลุ่มไมซ์ 3.Diversified Portfolio จากการกระจายโรงแรมไปในหลายประเทศ สามารถสร้างรายได้ได้ต่อเนื่อง ลดความเสี่ยง สร้างรายได้ระยะยาว
ชู2แบรนด์ใหม่ขยายธุรกิจ
ทั้งนี้ทิศทางการขยายธุรกิจ ภายใต้เป้าหมายการเพิ่มพอร์ตโฟลิโอ เป็น 2 เท่าใน 5 ปีนี้ เริ่มเดินเครื่องตั้งแต่ปี64 โดย SHR จะเน้นขยายแบรนด์ไลฟ์สไตล์ใหม่ๆ ซึ่งจะมี 2 แบรนด์โรงแรมที่SHR สร้างขึ้นมา เป็นตัวชูโรง ได้แก่
1.แบรนด์ SAii (ทราย) เป็นแบรนด์โรงแรมและรีสอร์ตระดับบน (Upper Upscale) มีบุคลิกแบรนด์ที่สนุกสนาน และมอบความอิสระให้กับนักเดินทางที่แสวงหาประสบการณ์การพักผ่อนรูปแบบใหม่ๆ ที่เพิ่งจะเปิดตัวแห่งแรกที่มัลดีฟส์ คือ ทราย ลากูน มัลดีฟส์ รีสอร์ทในพื้นที่โครงการ “ครอสโร้ดส์ มัลดีฟส์” เมื่อเดือนก.ย.ปี62 และในปีหน้า มีแผนจะเปิดตัวแบรนด์ดังกล่าวในประเทศไทย 2 แห่ง
ได้แก่ “ทราย ลากูน่า ภูเก็ต” ที่SHR เข้าไปรับบริหาร ซึ่งตั้งอยู่ใจกลาง ลากูน่า ภูเก็ต และ “ทราย พีพี ไอส์แลนด์ วิลเลจ” โดยจะเป็นการรีแบรนด์โรงแรมพีพี ไอส์แลนด์ วิลเลจ ซึ่งเป็นโรงแรมของSHR ที่มีอยู่แล้วรีแบรนด์ใหม่ ซึ่งจะเปิดให้บริการภายใต้แบรนด์ใหม่นี้ได้ในช่วงไตรมาสแรกปีหน้า
2. การสร้างแบรนด์ใหม่ ใช้ชื่อว่า nabor (เนเบอร์) ที่ออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์นักท่องเที่ยวยุคใหม่ เป็นแบรนด์ระดับกลาง ที่คุณภาพเทียบเท่าระดับลักชัวรี่ (Luxury Midscale) นำเสนอการการพักผ่อนที่มีสไตล์ เข้าถึงง่าย สะดวกสบายตามมาตรฐานสากล เน้นความเป็นดิจิทัล ทำทุกอย่างด้วยตัวเองผ่านแอปพลิเคชันตั้งแต่จองที่พัก เช็กอิน เช็กเอาต์ ผ่านกุญแจดิจิทัล ทั้งยังจะเน้นประสบการณ์ที่เชื่อมโยงกับพื้นที่โดยรอบ อาทิ ร้านอาหารที่ขึ้นชื่อในย่านโรงแรม ที่ลูกค้าสามารถสั่งมาทานได้ ซึ่งจะมีข้อมูลของพื้นที่โดยรอบทั้งหมดที่นำเสนอลูกค้าผ่านดิจิทัล
การขยายแบรนด์ nabor (เนเบอร์) มีเป้าหมายว่าจะเปิดตัวโรงแรมและรีสอร์ตแบรนด์นี้อย่างน้อย6 แห่ง ภายในปี 2564 ซึ่งจะเปิดตัวโรงแรมแบรนด์นี้ในไทยช่วงไตรมาส 2ปี64 เป็นแห่งแรก ตั้งอยู่ที่ บ่อผุด เกาะสมุย ซึ่งเป็นการลงทุนของ SHR เอง และก็ยังมองทำเลศักยภาพในหลายเมือง อย่าง เชียงใหม่ กรุงเทพฯ หัวหิน และภูเก็ต รวมถึงในต่างประเทศทั้งในภูมิภาคอาเซียน และเอเชียด้วย ที่จะเน้นการรับบริหาร
ขณะเดียวกันแผนการพัฒนาของ SHR ที่จะเกิดขึ้น ยังต้องสอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาธุรกิจอย่างยั่งยืน ตามแนวทางขององค์การใน 6 เรื่อง ได้แก่ การบริโภคที่ยั่งยืน การลดมลพิษจากขยะในทะเล โครงการโรงแรมคาร์บอนตํ่า โครงการให้ความรู้และการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมสำหรับเด็ก การจัดซื้อจัดหาวัตถุดิบในชุมชน การสนับสนุนอาหารท้องถิ่น และสิทธิมนุษยชน
ไม่เพียงการขยายธุรกิจ เพื่อกระจายความเสี่ยงในการลงทุนในระยะยาวเท่านั้น ท่ามกลางโควิด-19 ในขณะนี้ SHR ยังให้ความสำคัญถึง การการรักษากระแสเงินสดให้มากที่สุดในช่วงเวลานี้ เพราะในอนาคตธุรกิจนี้ก็ยังมีแนวโน้มการฟื้นตัว และเติบโตได้ โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจากยุโรป ที่พร้อมท่องเที่ยว เมื่อมีการเปิดการท่องเที่ยวอีกครั้ง
อัตราเข้าพักรร.ทั่วโลกเริ่มขยับ
สำหรับสถานการณ์ของธุรกิจโรงแรมทั่วโลกของSHR ในปัจจุบันพบว่ามัลดีฟส์ กลายเป็นพื้นที่ที่สร้างรายได้ให้กว่า 40% เพราะมัลดีฟส์เปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวมาตั้งแต่เดือนก.ค.ที่ผ่านมา มีอัตราการเข้าพัก 70-75% และเต็ม100% ในช่วงคริสต์มาสต์และปีใหม่นี้
ส่วนโรงแรมที่อังกฤษ ยังคงขึ้นๆ ลงๆ แต่การท่องเที่ยวภายในประเทศ แบบ Staycation ทำให้บางแห่งมีอัตราการเข้าพักสูงถึง 80% โรงแรมที่ฟิจิ ถ้ามีการเปิดพรมแดน ก็ขึ้น เพราะนักท่องเที่ยวจากออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์เข้ามาท่องเที่ยว โรงแรมที่เมอริเชียส เปิดเมื่อวันที่ 1 ธ.ค.ที่ผ่านมา มีอัตราเข้าพัก 35% สำหรับโรงแรมในไทยยังเป็นความท้าทายอยู่
เพราะคนไทยจะไปเที่ยวในเมืองที่ขับรถไปได้จะฟื้นตัวได้เร็วกว่าการเดินทางด้วยเครื่องบิน ทำให้โรงแรมที่ เกาะสมุย ภูเก็ต ก็ยังฟื้นช้า แม้จะช้าอยู่บ้างแต่ช่วงวันหยุดยาวก็มีอัตราเข้าพักอยู่ที่ 50-60% แต่ตอนนี้มีดีมานต์จากทั่วโลกอย่างมาเที่ยวไทย ถ้ามีการเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยว
ทั้งหมดล้วนเป็นทิศทางการดำเนินธุรกิจของSHR ที่แม้จะมีวิกฤตแต่ก็ยังคงเดินหน้าขยายการลงทุนตามแผนระยะยาวที่วางไว้เพื่อรอการฟื้นตัวด้านการท่องเที่ยวที่จะเกิดขึ้น
หน้า 21 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐ ฉบับที่ 3,637 วันที่ 20 - 23 ธันวาคม พ.ศ. 2563
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง
สิงห์ฯดันSHR ขาย IPO 5.2บาท/หุ้น หวัง7.4พันล.ขยายรร.
สิงห์ชนช้าง เขย่าพอร์ตโรงแรม กินยาวรับทัวริสต์โต