ปชช.ชายแดน “เชียงราย-ตาก” แห่ตุนสินค้าอุปโภคบริโภค

01 ก.พ. 2564 | 08:50 น.

“หอการค้า”ชี้ เร็วไปที่จะประเมินผลกระทบการค้าการลงทุนของไทยกับเมียนมา  ด้านหอการค้าเชียงราย-ตาก ชี้รัฐประหารเมียนมา ประชาชนตระหนกแห่ตุนสินค้าอุปโภคบริโภคคาดสั่งนำเข้าจากไทยเพิ่ม  จับตาทหารควบคุมการค้าแก้กฎระเบียบจนกลายเป็นอุปสรรค

นายกลินท์ สารสิน ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวถึงสถานการณ์ทางการเมืองในเมียนมาว่า ในส่วนของหอการค้าไทยมองว่าเป็นปัญหาทางการเมืองภายในประเทศ และเร็วไปที่จะให้ความเห็นว่าการรัฐประหารจะมีผลอย่างไรบ้างต่อการค้าการลงทุนของไทยกับเมียนมาซึ่งต้องรอประเมินสถานการณ์ก่อน อย่างไรก็ตามก็หวังว่าผู้ที่เกี่ยวข้องจะไม่กระทำการใด ๆที่กระทบต่อการค้าการลงทุนระหว่างประเทศ โดยเฉพาะในช่วงที่เกิดการระบาดของโควิด-19 ซึ่งทุกประเทศต่างให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาปากท้องหรือเศรษฐกิจของประเทศ เพราะหากไม่คำนึงถึงจุดนี้ก็ยิ่งจะเป็นการซ้ำเติมสถานการณ์เศรษฐกิจให้แย่ลงกว่าเดิม

นายกลินท์ สารสิน ประธานกรรมการหอการค้าไทย

 

ด้านนายอนุรัตน์ อินทร ประธานหอการค้าจ.เชียงราย กล่าวว่า หลังจากมีการรัฐประหารในประเทศเมียนมา จากการประเมินเบื้องต้นคาดว่าจะทำให้การนำเข้าสินค้าจากไทยมากขึ้นกว่าปกติเพราะประชาชนอาจจะตื่นตะหนกกักตุนสินค้าอุปโภคบริโภค ซึ่งส่วนใหญ่ก็นำเข้าจากประเทศไทย โดยด่านพรมแดนของจ.เชียงรายมีทั้งหมด 6 ด่าน สร้างรายได้รวมประมาณ 5 หมื่นล้านบาทต่อปี ซึ่งเป็นการนำเข้าส่งออกสินค้าระหว่างไทยกับเมียนมาและไทยกับลาวอย่างไรก็ตามก็จะติดตามสถานการณ์ภายในของเมียนมาอย่างใกล้ชิดต่อไป แต่จากการประเมินเบื้องต้นไม่น่าจะมีผลต่อการค้าการลงทุนระหว่างสองประเทศ เพราะจะเป็นการซ้ำเติมเศรษฐกิจที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโควิด-19 มากขึ้นไปอีก

 

 

ด้านนายประเสริฐ จึงกิจรุ่งโรจน์ ประธานหอการค้าจ.ตากกล่าวว่า หลังจากเกิดการรัฐประหารในเมียนมาในช่วงเช้าของวันนี้(1 ก.พ.) เกิดความสับสนเล็กน้อยเนื่องจากทางฝั่งของเมียนมาได้ปิดประตูด่านพรมแดนนาน 3-4 ชม. ทำให้เกิดความแออัดของการขนส่งสินค้าหน้าด่าน แต่หลังจากนั้นก็เปิดด่านตามปกติในเวลาประมาณ 10.00 น. ซึ่งถือเป็นการบริหารจัดการของทางฝั่งนั้น ที่อาจรอคำสั่งหรือความชัดเจนในทางปฏิบัติ

 

อย่างไรก็ตามจากการประเมินสถานการณ์ในขณะนี้มองว่าทางเมียนมาน่าจะสั่งนำเข้าสินค้าจากไทยมากขึ้นรองรับกับความต้องการของประชาชนชาวเมียนมาเอง ที่อาจมีการกักตุนสินค้าเนื่องจากวิตกในสถานการณ์ทางการเมืองที่ไม่แน่นอน ซึ่งทางทหารที่ทำการรัฐประหารก็น่าจะคำนึงปากท้องของประชาชนเป็นหลัก เพราะมิเช่นนั้นก็จะทำให้มีศัตรูสองด้านคือทั้งจากรัฐบาลที่โดนรัฐประหารและจากประชาชน เนื่องจากเป็นที่รู้กันเมียนมาเองก็ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 เป็นอย่างมาก ดังนั้นการรัฐประหารครั้งนี้จึงไม่มีการปิดด่านขนส่งสินค้า เพราะการเปิดด่านเป็นประโยชน์ของเมียนมาเอง และขณะนี้เป็นช่วงที่ไทยอนุญาตให้นำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์จากเมียนมาได้ในช่วงเดือนก.พ.-ส.ค.เท่านั้น หากปิดด่านพรมแดนไปก็จะทำให้ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ของเกษตรกรตกค้าง ไม่มีตลาดรองรับส่งผลเสียต่อเกษตรกรชาวเมียนมาเอง

 

 

อย่างไรก็ตามสิ่งที่น่าเป็นห่วงคือทางทหารจะเข้ามาควบคุมการค้าขายด้วยการแก้ไขกฎระเบียบในการนำเข้าส่งออกระหว่างไทยและเมียนมาใหม่ ซึ่งห่วงว่าจะเป็นปัญหาและอุปสรรคระหว่างกัน ซึ่งจะส่งผลต่อเศรษฐกิจของทั้งสองประเทศ  ทั้งนี้ด่านพรมแดนของตากสร้างรายได้ประมาณละ 8 หมื่นล้านบาท โดยมีด่านที่สร้างรายได้สำคัญคือจุดผ่านแดนสะพานมิตรภาพไทย-เมียนมา แห่งที่ 2

 

 ข่าวที่เกี่ยวข้อง

เอกชนชี้ “รัฐประหารเมียนมา” ไม่กระทบการค้าไทย