นางสาววิลาสินี ภาณุรัตน์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการตลาด บริษัท อีฟ โรเช่ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ความงาม “อีฟ โรเช่” จากประเทศฝรั่งเศส เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า การระบาดของโควิด-19 ตั้งแต่ปีที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบันยังส่งผลกระทบต่อตลาดความงามเมืองไทย
โดยพบว่ากลุ่มที่ได้รับผลกระทบหนักสุดได้แก่ ตลาดเมคอัพจากเดิมที่เคยเติบโตเป็นตัวเลข 2 หลักทุกปีล่าสุดมีการเติบโตเหลือ 8-9% และโอกาสที่จะฟื้นกลับมาก็เป็นเรื่องยากจากมาตรการต่างๆ ทั้ง WFH และกำลังซื้อที่ลดลง
ขณะที่ตลาดความงามในประเทศไทยซึ่งมีมูลค่ารวมกว่า 2.2 แสนล้านบาท ในปีที่ผ่านมาแม้จะต้องเผชิญกับโควิด-19 แต่โดยรวมพบว่ายังมีการเติบโต 6%-7% โดยเซกเม้นท์หลักยังคงเป็นกลุ่มสกินแคร์ ซึ่งมีมูลค่ากว่า 9 หมื่นล้านบาทหรือประมาณ 45% ซึ่งแบ่งออกเป็น ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวหน้า 80% และผิวกาย 20% และเป็นกลุ่มที่ยังมีการเติบโตต่อเนื่อง จากพฤติกรรมผู้บริโภคที่ยังคงดูแลสุขภาพ
“โควิดระลอกแรกกระทบถูกตลาดความงามทั้งระบบ ส่วนระลอก 2 หลายเซกเม้นท์เริ่มปรับตัวได้ ทำให้ตลาดกลับมาฟื้นตัว เช่น เฟซ แคร์ แม้จะติดลบเป็นครั้งแรกในรอบหลายสิบปี แต่ก็ฟื้นตัวเร็วจากพฤติกรรมผู้บริโภคที่ปรับตัวรับนิว นอร์มอล เช่นเดียวกับตลาดแฮร์แคร์ ที่พบว่าในปีที่ผ่านมามีการเติบโตกว่า 30% แตกต่างกับตลาดเมคอัพที่หดตัวอย่างรุนแรงและโอกาสฟื้นยาก”
สำหรับกลยุทธ์การทำตลาดในปีนี้บริษัทจะโฟกัสตลาดเฟซ แคร์เป็นหลัก โดยมีแผนเปิดตัวสินค้าใหม่ 2 รายการ ได้แก่ เอเอจี ซุปเปอร์ เซรั่ม บัด เนคต้าร์ สำหรับกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่ต้องการบำรุงผิวหน้าเริ่มวางจำหน่ายในเดือนพฤษภาคมนี้ โดยการทำตลาดจะเน้นการแจกสินค้าตัวอย่าง เพื่อให้เกิดการทดลองใช้และเห็นผลจริง
รวมทั้งการใช้วิธีการแสดงผลผ่าน Testimonial Campaign จากผู้ใช้จริงทั่วไปและจาก Expert Panel ที่เป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องผิวจริงๆ เนื่องจาก AAG เป็นผลิตภัณฑ์ที่ผู้ใช้มีรอยัลตี้สูง ซึ่งพบว่ากว่า 70% กลับมาซื้อซ้ำ และบริษัทยังมุ่งหวังที่จะมีฐานลูกค้าใหม่อีกราว 30% ด้วย
ขณะเดียวกันบริษัทยังทำโปรโมชั่นในช่วงแนะนำผลิตภัณฑ์ เพื่อให้ลูกค้าเข้าถึงได้ง่าย ส่งผลให้ราคาสินค้าของเอเอจี ซุปเปอร์ เซรั่ม บัด เนคต้าร์มีราคาถูกกว่าแบรนด์พรีเมี่ยมในกลุ่มสินค้าเดียวกันราว 30% นอกจากนี้ยังมีแผนเปิดตัวสินค้าใหม่อีก 1 รายการในไตรมาส 4 ปีนี้ด้วย
ภาพรวมของอีฟ โรเช่ในปีก่อนหลังปรับกลยุทธ์เพื่อรับมือกับโควิด-19 ทำให้ยอดขายยังเติบโตขึ้น 7% สวนทางกับตลาดที่พบว่าหลายเซกเม้นท์มีการเติบโตลดลง ขณะที่การปรับภาพลักษณ์ใหม่ ขยายฐานลูกค้าให้เด็กลง ทำให้อีฟ โรเช่มีฐานลูกค้าใหม่เพิ่มขึ้น 40% หรือกว่า 2 แสนคน
รวมทั้งการขยายช่องทางออนไลน์ ทำให้ได้ฐานลูกค้าใหม่เพิ่มขึ้นจากมาร์เก็ตเพลสต่างๆ ที่ร่วมเป็นพันธมิตร อย่างไรก็ดีการระบาดระลอก 3 ทำให้บริษัทต้องปรับตัวอีกครั้ง โดยมีแผนจะหันมาทำตลาดผ่านช่องทางออนไลน์มากขึ้น
“บริษัทเริ่มดำเนินงานแผนสำรอง โดยให้พนักงานบีเอกลับมาขายผ่านช่องทางออนไลน์มากขึ้น เพราะปัจจุบันแม้จะไม่มีการล็อกดาวน์เช่นปีก่อน โดยร้านสาขายังเปิดให้บริการแต่พบว่าจำนวนลูกค้าที่เข้ามาใช้ในห้างหรือศูนย์การค้าลดลง ทำให้ลูกค้าที่เข้าร้านลดลงเหลือเพียง 20% เท่านั้น”
นางสาววิลาสินี กล่าวอีกว่า แม้สถานการณ์จะยังไม่ดีแต่บริษัทเตรียมใช้งบการตลาดราว 10% ของยอดขายในการโฆษณาและสร้างการรับรู้ผ่านสื่อต่างๆ เช่น บิลบอร์ด, TVC เป็นต้น โดยในปีนี้บริษัทยังมั่นใจว่าจะทำยอดขายเกือบ 1,500 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 15% จากปีก่อนที่มียอดขายราว 1,300 ล้านบาท
หน้า 21-22 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 41 ฉบับที่ 3,679 วันที่ 16 - 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2564
ข่าวที่เกี่ยวข้อง :