บริษัท เอเชีย เอวิเอชั่น จำกัด (มหาชน)หรือ AAV (ถือหุ้นในไทยแอร์เอเชีย55%)ประกาศผลประกอบไตรมาส2ปี2564 ต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(ตลท.)ระบุว่าในช่วงไตรมาส2ปี2564 AAV ขาดทุนสุทธิ1,691.87 ล้านบาท ขาดทุนเพิ่มขึ้น 48% จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ขาดทุน1,141.32 ล้านบาท
เนื่องจากบริษัทมีรายได้รวม1,080.7 ล้านบาท ลดลง 51% จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีรายได้รวม 2,221 ล้านบาท มีค่าใช้จ่ายรวม 3,894 ล้านบาท ลดลง3% จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มี 4,021.4 ล้านบาท
ขณะที่งวดครึ่งปีแรก2564 AAV ขาดทุน3,556.46 ล้านบาท ขาดทุนเพิ่มขึ้น96% จากช่วงเดียวกันปีก่อนขาดทุน1,812.80 ล้านบาท เนื่องจากมีรายได้รวมทั้งสิ้น 2,431.4 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 75จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่มีค่าใช้จ่ายรวมทั้งสิ้น 8,451.1 ลดลงร้อยละ 34จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
สำหรับในส่วนของบริษัทไทยแอร์เอเชีย จำกัด ในช่วงไตรมาส2 ปีนี้ขาดทุน 3,028.1 ล้านบาทสำหรับครึ่งแรกปี 2564 บริษัทไทยแอร์เอเชีย ขาดทุนอยู่ที่ 6,226.3 ล้านบาท
ทั้งนี้ในไตรมาสที่ 2 ปี 2564 สายการบินไทยแอร์เอเชีย มีจำนวนผู้โดยสาร721,794 คน หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 155
เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งขยายตัวไปในทิศทางเดียวกับปริมาณการผลิตด้านผู้โดยสารและปริมาณที่นั่ง โดยหลักหนุนจากความต้องการเดินทางที่เพิ่มขึ้นช่วงเทศกาลสงกรานต์ในเดือนเมษายน 2564 และฐานที่ต่ำซึ่งเป็นผลมาจากการหยุดให้บริการบินชั่วคราวในเดือนเมษายน 2563
อย่างไรก็ตามการแพร่ระบาดของโควิด-19 ตามที่กล่าวข้างต้น ส่งผลให้อัตราการขนส่งผู้โดยสารในไตรมาสดังกล่าวอยู่ที่ร้อยละ 61
นอกจากนี้สายการบินไทยแอร์เอเชียได้ดำเนินงานลดจำนวนเครื่องบินตามแผนในระหว่างงวด ส่งผลให้ ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2564 มีจำนวนเครื่องบินทั้งสิ้น 60 ลำ
ทั้งนี้การฟื้นตัวของเศรษฐกิจอาจมีความล่าช้าออกไปจากปัจจัยความเสี่ยง เช่น สถานการณ์การแพร่ระบาดภายในประเทศ
การเลื่อนระยะเวลาการเปิดประเทศประสิทธิภาพและความล่าช้าในการกระจายวัคซีน ไทยแอร์เอเชีย คาดการณ์ผลการดำเนินงานในช่วงครึ่งปีหลังจะทรงตัวอย่างประคับประคองจากการที่ภาครัฐบาลได้ออกมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดอย่างเข้มงวดและสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (“กพท.”)
โดยได้ประกาศห้ามบินรับส่งผู้โดยสารในประเทศพื้นที่ควบคุมสูงสุดเริ่มตั้งแต่ 21 กรกฎาคม เป็นต้นไปโดยไม่มีกำหนด
ดังนั้นไทยแอร์เอเชีย จึงประกาศหยุดให้บริการในทุกเส้นทางบินภายในประเทศชั่วคราวถึงวันที่ 31 สิงหาคม 2564 เพื่อให้ความร่วมมือกับรัฐบาลในการช่วยกันป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดของ COVID-19
รวมทั้งไทยแอร์เอเชีย ยังเน้นการเติบโตในธุรกิจที่ไม่เกี่ยวข้องกับการบิน(“Non-airline Business”) โดยเพิ่มศักยภาพธุรกิจขนส่งทาง อากาศโดยการนำเครื่องบินมาใช้ในการขนส่งทางอากาศอย่างเดียว เพื่อรองรับธุรกิจอีคอมเมิร์ซและความต้องการ ขนส่งสินค้าโดยรวม
นอกจากนี้หน่วยธุรกิจด้านดิจิทัลภายใต้กลุ่มแอร์เอเชียได้ผนึกกำลังกับโกเจ็กแพลตฟอร์มบริการด้านอีคอมเมิร์ซและการช าระเงินผ่านมือถือชั้นนำของอาเซียนผ่านการเข้าซื้อกิจการของโกเจ็กส่วนที่ดำเนินการอยู่ในประเทศไทย เพื่อที่จะเสริมศักยภาพและสร้างระบบนิเวศธุรกิจของกลุ่มแอร์เอเชีย โดยในประเทศไทยนั้น airasia super app จะเริ่มเปิดตัว airasia food และผลิตภัณฑ์อื่นๆ ภายในครึ่งปีหลังนี้
นายสันติสุข คล่องใช้ยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. เอเชีย เอวิเอชั่น และ บจ.ไทยแอร์เอเชีย กล่าวว่า ผลประกอบการไตรมาส 2 ปี 2564 AAV ยังไม่สามารถเติบโตได้ตามเเผน โดยหลักมาจากปัจจัยภายนอก เช่น สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ในประเทศที่รุนเเรงเกินกว่าที่คาดการณ์ไว้ แม้เราจะพยายามทุกวิถีทางในการปรับตัว
ไม่ว่าจะเป็นการบริหารจัดการต้นทุนเพื่อรักษากระเเสเงินสด รวมทั้งการจัดหาเเหล่งเงินทุนจากหลายช่องทาง ทั้งแผนการกู้เงินเพื่อปรับโครงสร้างกิจการ ซึ่งอยู่ระหว่างการดำเนินการ เเละเงินกู้ยืมเพื่อรักษาสภาพการจ้างงานพนักงานจากภาครัฐที่ยังไม่ได้ข้อสรุป
“ในเดือนเมษายน 2564 เกิดการเเพร่ระบาดของโควิด-19 ระลอกใหม่และสายพันธุ์ที่หลากหลาย ส่งผลต่อการดำเนินงานในเดือนพฤษภาคมและมิถุนายนอย่างชัดเจน ส่งผลให้สายการบินจึงจำเป็นต้องปรับลดและจัดการปริมาณเที่ยวบินอย่างเหมาะสม เพื่อให้มีเงินหมุนเวียนเสริมสภาพคล่องธุรกิจ ควบคู่กับการประคองผลประกอบการทั้งในระยะสั้นเเละระยะยาว” นายสันติสุขกล่าว
ทั้งนี้เมื่อสรุปผลประกอบการไตรมาส 2 ปี 2564 AAV มีรายได้รวมอยู่ที่ 1,081 ล้านบาท ขาดทุนจำนวน 1,692 ล้านบาท จากขาดทุนสุทธิจำนวน 1,141 ล้านบาท ในไตรมาส 2 ปี 2563 โดยมีรายได้จากการขายและการให้บริการที่เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน
เนื่องจากฐานที่ต่ำซึ่งเป็นผลมาจากการหยุดให้บริการบินชั่วคราวในเดือนเมษายน 2563 ส่วนรายได้ค่าระวางสินค้าเพิ่มขึ้นร้อยละ 682 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน หนุนจากจำนวนเที่ยวบินขนส่งสินค้า 132 เที่ยวบินในไตรมาสนี้ ในขณะที่ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานลดลงร้อยละ 20 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
สาเหตุหลักจากค่าใช้จ่ายด้านพนักงานที่ลดลง ทำให้ครึ่งปีเเรก AAV มีรายได้รวมอยู่ที่ 2,431 ล้านบาท และขาดทุนจำนวน 3,556 ล้านบาท โดยรายได้รวมลดลงร้อยละ 75 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากจำนวนผู้โดยสารที่ลดลงร้อยละ 65 และค่าโดยสารเฉลี่ยที่ลดลงร้อยละ 26 เนื่องจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ส่งผลให้มีความจำเป็นต้องระงับเส้นทางบินระหว่างประเทศทั้งหมด
ส่วนค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานลดลงร้อยละ 49 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน สาเหตุหลักจากค่าใช้จ่ายด้านพนักงานที่ลดลง ตามนโยบายขอความร่วมมือให้พนักงานใช้สิทธิการลาโดยไม่รับค่าจ้างในระยะสั้นและระยะยาว รวมถึงค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องก็ลดลงตามจำนวนเที่ยวบินเมื่อเทียบกับปีก่อน
สำหรับครึ่งหลังปี 2564 ในช่วงต้นเดือนกรกฎาคม เราได้รับสัญญาณที่ดีจากนโยบายในการเริ่มเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ ผ่านทาง ภูเก็ต เเซนด์บอกซ์ ซึ่งทำให้เราปรับเพิ่มเที่ยวบินเข้าเเละออกภูเก็ต
เเต่หลังจากนั้นสถานการณ์การเเพร่ระบาดของโควิด-19 ในประเทศไทยกลับมารุนแรงมากขึ้น และแผนการกระจายฉีดวัคซีนทั่วประเทศยังช้ากว่าที่คาดการณ์ไว้ นอกจากนี้สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทยได้ประกาศให้ทุกสายการบินห้ามทำการบินเข้าเเละออกในพื้นที่ควบคุมสูงสุดเเละเข้มงวด สายการบินจึงต้องประกาศหยุดบินชั่วคราวทุกเส้นทางอีกครั้ง
ในช่วงกลางเดือนกรกฎาคม-สิงหาคม พร้อมปรับแผนกลยุทธ์ในการประคองธุรกิจ เสริมด้วยโอกาสใหม่ในธุรกิจอีคอมเมิร์ช เเละธุรกิจขนส่งทางอากาศ ที่เห็นการเติบโตอย่างโดดเด่น
นายสันติสุขกล่าวว่า การที่กลุ่มเเอร์เอเชียได้เข้าซื้อกิจการของ Gojek ประเทศไทย และเริ่มเปิดให้บริการผ่าน airasia super app ถือเป็นการตอกย้ำว่าต่อจากนี้แอร์เอเชียจะไม่ใช่เเค่สายการบิน จะมีสินค้าบริการใหม่ๆ ตอบสนองทุกไลฟ์สไตล์ สร้างระบบนิเวศธุรกิจต่อยอดได้หลากหลายมากขึ้น ผ่านแบรนด์แอร์เอเชียที่เเข็งเเกร่ง
รวมทั้งการพัฒนาด้านการขนส่งทางอากาศอย่างเต็มรูปแบบ ซึ่งมีอนาคตที่ดีและสามารถสร้างรายได้หมุนเวียนให้กับธุรกิจน่าพอใจ “โจทย์สำคัญที่สุดในครึ่งปีหลัง คือการสร้างวินัยทางการเงินเเละเสริมสภาพคล่องในธุรกิจ พร้อมประเมินความเสี่ยงอยู่ตลอด ซึ่งเราเชื่อว่านโยบายระยะสั้นต่างๆ ที่เราออกไป จะช่วยลดผลกระทบจากสถานการณ์ภายนอกที่เกิดขึ้นได้ดี
อย่างไรก็ตาม การท่องเที่ยวเดินทางเป็นสิ่งที่ไม่มีอะไรมาทดเเทนได้ ช่วงเวลานี้ทุกคนต้องช่วยกันดูเเลตัวเอง เเละเมื่อโอกาสมาถึง จะมีความต้องการเดินทางจำนวนมาก ซึ่งไทยแอร์เอเชียก็พร้อมกลับมาเติบโตได้อย่างมั่นคงอีกครั้ง” นายสันติสุขกล่าว