ภาพรวมตลาดสินค้าแม่และเด็กยังคงเติบโตทุกปี โดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าระดับพรีเมี่ยม แม้ว่าอัตราการเกิดของประชากรจะน้อยลง แต่ครอบครัวยุคใหม่มีการวางแผนและเตรียมตัวสำหรับการมีลูกมากขึ้น รวมไปถึงการเตรียมงบประมาณสำหรับเลี้ยงดูลูกมากยิ่งขึ้น
นอกจากนี้ครอบครัวยุคใหม่ยังให้ความสำคัญกับการเลี้ยงลูกด้วยตัวเอง ทำให้มีความต้องการตัวช่วยในการเลี้ยงลูกที่สะดวกสบายและปลอดภัยส่งผลต่อเนื่องให้มูลค่าตลาดรวมสินค้าแม่และเด็กในประเทศไทยเติบโตจนมีมูลค่ากว่า 40,300 ล้านบาท และยังมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง
นางเนตรนพิศ รุ่งธนเกียรติ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ละมุน เบบี้ จำกัด เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า ผลิตภัณฑ์แม่และเด็กของละมุน เบบี้ จัดอยู่ในตลาดพรีเมียมออร์แกนิค ในช่วงครึ่งปีแรกที่เกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 บริษัทได้รับผลกระทบเล็กน้อยจากช่องทางการขายออฟไลน์ที่ต้องปิดบริการ
แต่ด้วยลักษณะของสินค้าเป็นสินค้าจำเป็น ซึ่งคุณแม่จะให้ความสำคัญและเลือกที่จะตัดผลิตภัณฑ์สำหรับเด็กเป็นอันดับสุดท้าย แต่ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้จ่ายของคุณแม่ในส่วนผลิตภัณฑ์แม่และเด็กจากการซื้อตุนมาเป็นซื้อพอใช้และเลือกซื้อสินค้าที่ราคาและโปรโมชั่นคุ้มค่า
“สินค้าแม่และเด็กมี 2 เซ็กเมนต์คือ premium organic ที่ใช้ส่วนผสมของธรรมชาติ 100% เป็นสินค้าที่มีคุณภาพ ในแง่ของการแข่งขันไม่ได้มีผลเยอะและละมุนเบบี้เป็นเจ้าตลาดในเซ็กเมนต์นี้ และอีกหนึ่งเซ็กเมนต์คือกลุ่ม mass ที่ค่อนข้างมีการทำ sale promotion เยอะมาก เช่น 1 แถม 1 เพื่อกระตุ้นให้เกิดการตัดสินใจ ขณะที่การทำโปรโมชั่นและให้ส่วนลด จะทำให้ลูกค้ากลับมาซื้อซ้ำ หรือทดลองผลิตภัณฑ์อื่น”
สำหรับละมุน เบบี้มีการปรับ strategy เพื่อให้ตรงกับพฤติกรรมของคุณแม่ที่เปลี่ยนไป ซึ่งช่องทางการขายของแบรนด์มีทั้งออฟไลน์และออนไลน์ โดยเฉพาะตลาดออนไลน์ที่บริษัทค่อนข้างเชี่ยวชาญเพราะเป็นตลาดหลักของแบรนด์ และทำตลาดเข้มข้นมาอย่างต่อเนื่องจึงไม่มีผลกระทบ
ในส่วนของห้างสรรพสินค้า ซึ่งเป็นช่องทางออฟไลน์ที่แบรนด์ทำตลาดมีผลกระทบบ้าง แต่ห้างสรรพสินค้ามีการปรับตัวเน้นขายออนไลน์มากขึ้น ทำให้ยอดขายของแบรนด์ boot up ในช่องทางอีคอมเมิร์ซมากขึ้นไม่ว่าจะเป็น lazada,shopee ช่องทางออนไลน์ของห้างสรรพสินค้าหรือช่องทางออนไลน์ของ lamoon baby เองและเมื่อห้างสรรพสินค้ากลับมาเปิดบริการตามปกติ ลูกค้าก็กลับมาซื้อที่ช้อปมากขึ้น
“ผลกระทบมีอยู่แล้วแต่ละมุน เบบี้ ไม่หยุดที่จะปรับตัวเมื่อสภาวการณ์แบบนี้แบรนด์อื่นเขาก็อาจจะมีหลายสภาวะเช่นสภาวะจำศีลหรือบางคนอาจจะปล่อยไหลตามสถานการณ์แต่สำหรับเราไม่ได้คิดแบบนั้นเราต้องปรับตัว อะไรที่จะทำให้เราเติบโตได้เราก็จะทำ ต้องปรับตัวทุกๆ วัน เรามีแผนที่ไม่นิ่ง ขึ้นอยู่กับสถานการณ์”
สำหรับครึ่งปีหลังภาพรวมของละมุน เบบี้ จะไม่ใช่แค่การปรับในเรื่องของโปรโมชั่นหรือรูปแบบในการทำงาน แต่รวมไปถึงการพัฒนาสินค้าใหม่เพื่อมาตอบโจทย์ลูกค้าที่เปลี่ยนไป โดยจะเห็นได้ว่าช่วงครึ่งปีแรกบริษัททำแคมเปญ Co-branding กับดิสนีย์ จนออกมาเป็น Mom Magic Moment Collection
ซึ่งเป็นการตอกย้ำความเป็นแบรนด์ระดับโลก ซึ่งได้รับผลผลตอบรับจากกลุ่มเป้าหมายเกินเป้า และยังทำให้ละมุน เบบี้ได้ฐานลูกค้าใหม่ๆทั้งคุณแม่ที่ไม่เคยใช้ละมุน เบบี้มาก่อน และลูกค้าเดิมที่มีการเอ็นเกจในเรื่องของดิสนีย์อยู่แล้วต้องการซื้อเพิ่ม
“ในไปป์ไลน์ละมุนมีแผนออกโปรดักต์ใหม่ 1-2 ปี คนอื่นอาจจะซัฟเฟอร์กับสิ่งที่เกิดขึ้น แต่สิ่งที่ละมุนทำคือมองข้าม พยายามจะมองว่ามีโอกาสอะไรใหม่ๆ ที่จะช่วยลูกค้าได้ สำหรับครึ่งปีหลังสิ่งที่จะเกิดขึ้น คือ การพัฒนาและนำเสนอหมวดสินค้าใหม่ให้ตรงกับความต้องการของลูกค้า ซึ่งเราพร้อมที่จะปรับตัวและวิ่งให้เร็วขึ้นไม่ว่าจะเป็นLamoon Vita ซึ่งเป็นอาหารเสริมให้กับน้องๆ
เพราะในช่วงที่ผ่านมาคุณแม่จะให้ความสำคัญกับเรื่องสุขภาพภูมิคุ้มกัน ขณะเดียวกันคุณแม่มีครรภ์ก็มีตัวช่วยสร้างภูมิต้านทาน เพราะเด็กในช่วงแรกเกิดถึง 6 เดือนแรกต้องได้รับภูมิต้านทานจากนมแม่ จึงมีเจลลี่เพิ่มน้ำนม Immuna Plus รวมไปถึง Immushi เสริมภูมิต้านทานและ Yummi-O วิตามินกินเก่งช่วยให้เจริญอาหาร”
ในส่วนตลาดต่างประเทศ ละมุนเบบี้มีฐานลูกค้าเหนียวแน่นไม่ว่าจะเป็นเวียดนาม, กัมพูชา, มาเลเซีย, สิงคโปร์, ฮ่องกงแม้กระทั่งจีน ซึ่งตั้งแต่เกิดโควิดได้รับผลกระทบในเรื่องของการขนส่ง ทำให้บางออร์เดอร์ต้องชะลอไปบ้าง
สำหรับปีนี้ละมุน เบบี้ ตั้งเป้าหมายที่จะมีรายได้ 230 ล้านบาท เติบโต 25% ซึ่งคาดว่าจะได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ โดยมาจากการพัฒนาสินค้านวัตกรรมครอบคลุมทุกกลุ่มสินค้ามากขึ้น การทำการตลาดที่เข้าถึงคุณแม่ตั้งแต่เตรียมพร้อมการตั้งครรภ์ รวมถึงการออกสินค้าที่เกี่ยวกับสุขภาพ ภายใต้แบรนด์ Lamoon Vita
“ในสภาวะแบบนี้ลูกค้าก็อยากจะเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้กับลูกเพราะหากต้องใช้เม็ดเงินที่จำกัดเขาก็อยากเลือกสิ่งที่คุ้มค่าที่สุด เราจึงจำเป็นต้องพัฒนาสินค้าที่ตรงกับความต้องการของลูกค้ามากขึ้น รวบรวมสิ่งที่ลูกค้าต้องการ แล้วรีบพัฒนาให้ตรงกับความต้องการ
นอกจากกลุ่มเป้าหมายหลักที่เป็นคุณแม่แล้ว ละมุนเบบี้ยังมีฐานลูกค้าในกลุ่มเด็กวัยรุ่นหลายคนที่เชื่อว่าตัวเองเป็นคนผิวแพ้ง่าย และใช้ผลิตภัณฑ์เด็ก ซึ่งบริษัทเองมีการทำการตลาดรองรับด้วย”
หน้า 14-15 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 41 ฉบับที่ 3,715 วันที่ 19 - 22 กันยายน พ.ศ. 2564