พันเอก ดร.นที ศุกลรัตน์ รองประธานกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (รองประธาน กสทช.) เปิดเผยว่า ปัจจุบันผู้ประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียงสามารถแบ่งได้เป็น 2 ประเภท ได้แก่
1. ผู้รับอนุญาตให้ใช้งานคลื่นความถี่เพื่อการประกอบกิจการกระจายเสียงตามมาตรา 83 แห่งพระราชบัญญัติองค์กรจัดสรรคลื่นความถี่กำกับการประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม พ.ศ. 2553 (พ.ร.บ. องค์กรฯ) ซึ่งมีจำนวนทั้งสิ้น 509 สถานี แบ่งเป็นระบบ FM 313 สถานี และระบบ AM จำนวน 196 สถานี
2. ผู้ทดลองประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง ซึ่งมีจำนวนทั้งสิ้น 4,371 สถานี แบ่งเป็นประเภทบริการชุมชน 263 สถานี บริการสาธารณะ 692 สถานี และบริการทางธุรกิจ 3,416 สถานี
ทั้งนี้ ในส่วนของผู้รับอนุญาตให้ใช้งานคลื่นความถี่เพื่อการประกอบกิจการกระจายเสียงตามมาตรา 83 แห่ง พ.ร.บ. องค์กรฯ นั้น ตามคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่ 76/2559 เรื่อง มาตรการส่งเสริมการประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียงวิทยุโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคม เพื่อประโยชน์สาธารณะ ได้กำหนดให้ระยะเวลาในการถือครองคลื่นความถี่ของผู้รับอนุญาตตามมาตรา 83 ดังกล่าว สิ้นสุดลงในวันที่ 3 เมษายน 2565
สำหรับผู้ทดลองประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง เดิม กสทช. ได้เปิดให้มีการลงทะเบียนเพื่อให้มีสถานะเป็นผู้ได้รับสิทธิทดลองออกอากาศในลักษณะชั่วคราว ตามประกาศ กทช. เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีการอนุญาตประกอบกิจการบริการชุมชนชั่วคราว (วิทยุกระจายเสียงชุมชน)
ในปี 2555 กสทช. ได้ออกประกาศ กสทช. เรื่อง หลักเกณฑ์การอนุญาตทดลองประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง พ.ศ. 2555 และกำหนดให้ผู้ได้รับสิทธิทดลองออกอากาศในลักษณะชั่วคราว เข้าสู่กระบวนการขอรับใบอนุญาตทดลองประกอบกิจการ โดยสามารถยื่นคำขอรับใบอนุญาตให้สอดคล้องตามประเภทการให้บริการได้ 3 ประเภท ได้แก่ ประเภทบริการชุมชน บริการสาธารณะ และบริการทางธุรกิจ
ต่อมา ศาลปกครองสูงสุดได้มีคำพิพากษาในคดีแดงหมายเลขที่ อ.1365/2563 เมื่อวันที่ 22 ธันวาคม 2563 ให้เพิกถอนข้อ 7 ของประกาศ กสทช. เรื่อง หลักเกณฑ์การอนุญาตทดลองประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง พ.ศ. 2555 ที่กำหนดสิทธิในการยื่นคำขอทดลองประกอบกิจการว่าผู้ยื่นจะต้องเป็นผู้ได้รับสิทธิทดลองออกอากาศในลักษณะชั่วคราว หรือวิทยุชุมชนมาก่อน
ทำให้ผู้ที่ประกอบกิจการวิทยุธุรกิจอยู่เดิมไม่สามารถยื่นขอรับใบอนุญาตได้ อีกทั้งบทบัญญัติดังกล่าวยังขัดกับมาตรา 41 แห่ง พ.ร.บ. องค์กรฯ ที่บัญญัติให้การอนุญาตให้ใช้คลื่นความถี่ต้องคำนึงถึงการแข่งขันโดยเสรีอย่างเป็นธรรม และการอนุญาตให้ใช้คลื่นความถี่ประเภทบริการทางธุรกิจให้ใช้วิธีคัดเลือกโดยวิธีการประมูลคลื่นความถี่ โดยการเพิกถอนดังกล่าวมีผลย้อนหลังไปจนถึงวันที่ประกาศดังกล่าวมีผลใช้บังคับ
จากข้อเท็จจริงดังกล่าวข้างต้น กสทช. ได้กำหนดแนวทางเพื่อให้การประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียงเป็นไปด้วยความต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพ โดยที่ประชุม กสทช. ครั้งที่ 10/2564 เมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม 2564 พิจารณาเห็นชอบแผนการดำเนินงานในการพิจารณาอนุญาตให้ใช้คลื่นความถี่และประกอบกิจการกระจายเสียง (Roadmap) เพื่อรองรับการเปลี่ยนผ่านระบบการใช้งานคลื่นความถี่วิทยุกระจายเสียงไปสู่ระบบการอนุญาตตามกฎหมายว่าด้วยการอนุญาตให้ใช้งานคลื่นความถี่และประกอบกิจการกระจายเสียง
การดำเนินการตาม Roadmap นั้น พันเอก ดร.นที กล่าวว่า กสทช. จะพิจารณาอนุญาตให้ใช้คลื่นความถี่ในระบบ F.M. จำนวน 313 คลื่นความถี่ และระบบ A.M. จำนวน 196 คลื่นความถี่ โดยการพิจารณาอนุญาตในประเภทบริการสาธารณะ จะพิจารณาตามมาตรา 74 แห่งพระราชบัญญัติการประกอบกิจการกระจายเสียงและโทรทัศน์ พ.ศ. 2551
และประกาศ กสทช. เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีการอนุญาตให้บริการกระจายเสียงหรือโทรทัศน์ พ.ศ. 2555 ส่วนการพิจารณาอนุญาตในประเภทบริการทางธุรกิจ จะดำเนินการโดยวิธีการประมูล ทั้งนี้กระบวนการดังกล่าวจะดำเนินการแล้วเสร็จก่อนวันที่ 4 เมษายน 2565
นอกจากนี้ ตาม Roadmap ยังได้กำหนดให้การเปลี่ยนผ่านการทดลองประกอบกิจการกระจายเสียงเริ่มตั้งแต่วันที่ 4 เมษายน 2565 เป็นต้นไป โดยให้มีการพิจารณาอนุญาตให้ใช้คลื่นความถี่ด้วยกำลังส่งต่ำในประเภทบริการชุมชน และบริการสาธารณะ ตั้งแต่วันที่ 4 เมษายน 2565
ส่วนผู้ประกอบกิจการประเภทบริการทางธุรกิจ ให้ดำเนินการยื่นคำขอทดลองออกอากาศวิทยุกระจายเสียงด้วยกำลังส่งต่ำ และเข้าสู่กระบวนการอนุญาตตามกฎหมาย ซึ่งสำนักงาน กสทช.จะประกาศให้ทราบต่อไป ทั้งนี้ หากผู้ประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียงรายใดไม่สามารถเข้าสู่กระบวนการอนุญาตตามกฎหมายได้ ให้ยุติการออกอากาศวิทยุกระจายเสียงในปี 2567
“การดำเนินการของ กสทช. จะเป็นการดำเนินการที่สอดคล้องตาม Roadmap เพื่อให้การให้บริการกระจายเสียงภายหลังวันที่ 4 เมษายน 2565 เป็นไปด้วยความเรียบร้อย ต่อเนื่อง และเปิดโอกาสให้กับผู้ประกอบกิจการกระจายเสียงรายใหม่สามารถเข้าสู่ระบบการอนุญาตให้ใช้คลื่นความถี่ได้”