นายสิทธิชัย แดงประเสริฐ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โรงงานเภสัชอุตสาหกรรม เจเอสพี (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ JP ผู้ดำเนินธุรกิจพัฒนา ผลิตและจำหน่าย ยาแผนปัจจุบัน ยาแผนโบราณ ผลิตภัณฑ์สมุนไพรและผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานในช่วง 9 เดือนแรกบริษัท มีรายได้จากการขาย 310.92 ล้านบาท กำไรสุทธิ 25.69 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.91% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
โดยมีสัดส่วนรายได้จากกลุ่มธุรกิจรับจ้างผลิต (OEM) ให้แก่แบรนด์ของลูกค้า 61.41% สะท้อนความสามารถด้านการผลิตของโรงงานผลิตที่กรุงเทพฯและจังหวัดลำพูนที่ตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้ดี โดยมีคำสั่งผลิตยาแผนปัจจุบันปรับตัวเพิ่มขึ้น และมีสัดส่วนรายได้จากกลุ่มผลิตภัณฑ์ Own Brand ที่คิดเป็น 36.60% ของรายได้จากการขาย
ช่วยสนับสนุนอัตราการทำกำไรขั้นต้นให้ปรับตัวดีขึ้นเป็น 33.56% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ตอกย้ำแนวทางดำเนินธุรกิจที่มุ่งทำตลาดผลิตภัณฑ์ยาแผนปัจจุบัน กลุ่มผลิตภัณฑ์ยาแผนโบราณและยาสมุนไพร และผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่สกัดจากธรรมชาติที่ใช้ทั้งภายในและภายนอกร่างกาย ภายใต้ตราสินค้าของบริษัทฯ เป็นผลให้กำไรสุทธิทำได้ 25.69 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.91% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
ขณะที่ในไตรมาส 3/2564 (กรกฎาคม-กันยายน) บริษัทมีรายได้จากการขายรวม 103.56 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 6.32 ล้านบาท โดยได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ที่ภาครัฐต้องดำเนินงานมาตรการควบคุมการแพร่ระบาด ส่งผลกระทบต่อบรรยากาศการซื้อสินค้าในกลุ่มผลิตภัณฑ์เสริมอาหารซึ่งเป็นพอร์ตรายได้หลักชะลอตัวลง ส่วนกลุ่มผลิตภัณฑ์ยาสมุนไพรมีปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากตลาดยังคงมีความต้องการผลิตภัณฑ์สมุนไพรเพื่อนำมาใช้ดูแลรักษาสุขภาพจากสถานการณ์โรคโควิด-19
สำหรับไตรมาสสุดท้ายปีนี้ บริษัทจะมุ่งทำตลาดผลิตภัณฑ์ยาแผนปัจจุบัน ยาแผนโบราณและผลิตภัณฑ์สมุนไพร และผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่สกัดจากธรรมชาติภายใต้ Own Brand อย่างจริงจัง โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์เสริมอาหารแบรนด์ ‘สุภาพโอสถ’ ผ่านช่องทางจำหน่ายที่หลากหลาย ทั้งร้านขายยาทั่วไป ร้านค้าปลีกสมัยใหม่ ร้านสะดวกซื้อ มาร์เก็ตเพลส เช่น Shopee Lazada ทีวีโฮมช้อปปิ้ง
ล่าสุดบริษัทร่วมมือกับ บมจ.ทีวีไดเร็ค หรือ TVD ผู้นำธุรกิจจำหน่ายสินค้าและบริการผ่านช่องทางทีวีและออนไลน์ เพื่อร่วมสื่อสารการตลาดแบบทางตรง (Direct Marketing) ให้กับ JP โดยมีผลิตภัณฑ์ตัวแรกได้แก่ ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร น้ำมันงาดำ+น้ำมันรำข้าว ขณะเดียวกัน บริษัทจะเพิ่มขีดความสามารถด้านการผลิตของโรงงานทั้ง 2 แห่ง รองรับความต้องการผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่คาดว่าจะฟื้นตัว
“หลังจากบรรยากาศและความเชื่อมั่นของผู้บริโภคปรับตัวดีขึ้น ภายหลังภาครัฐมีนโยบายคลายล็อกดาวน์ทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจกลับมาเดินหน้าได้อีกครั้ง ตั้งเป้าว่าปีนี้ผลการดำเนินงานปีนี้จะเติบโต 15-30% ตามที่วางไว้”