นายมานูเอล มอนตานา (Manuel Montana) ประธานกลุ่มมิชลิน ประจำภาคพื้นเอเชียตะวันออกและออสเตรเลีย เปิดเผยว่า ภายใต้การขยายความร่วมมือครั้งนี้ มิชลิน ไกด์ จะรุกดำเนินการสำรวจพื้นที่ใหม่ๆ ในประเทศไทยอย่างต่อเนื่องเพื่อค้นหาร้านอาหารและที่พักที่ดีสุด ขณะที่ ททท. จะได้รับสิทธิ์มอบรางวัล MICHELIN Guide Service Award presented by TAT ให้แก่บุคลากรผู้ให้บริการยอดเยี่ยม
“การขยายระยะเวลาความร่วมมือในครั้งนี้ทำให้เราสนับสนุนและส่งเสริมภาคธุรกิจอาหารและการท่องเที่ยวของไทยได้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นการสร้างขวัญกำลังใจที่ดีและจำเป็นสำหรับผู้ประกอบการท้องถิ่นทั้งในช่วงที่ต้องเผชิญกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 และภายหลังจากที่สถานการณ์คลี่คลายลง
ทั้งนี้ ด้วยกิจกรรมการตลาดและการสื่อสารที่แข็งแกร่งผ่านสื่อดั้งเดิมและสื่อดิจิตอลทั่วโลก ‘มิชลิน ไกด์’ จะช่วยเป็นกระบอกเสียงในการเผยแพร่และส่งเสริมภาพลักษณ์ของประเทศไทยในฐานะจุดหมายปลายทางด้านการท่องเที่ยวเชิงอาหารระดับโลก ตลอดจนช่วยส่งเสริมการฟื้นตัวของการท่องเที่ยวไทยหลังวิกฤติโควิด-19
นอกจากนี้ ความมุ่งมั่นของ ‘มิชลิน ไกด์’ ที่จะกระตุ้นการรับรู้และส่งเสริมให้เกิดการพัฒนาอย่างยั่งยืนในภาคธุรกิจร้านอาหารและการบริการ ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายภาครัฐด้านเศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียว ยังไม่เพียงเป็นประโยชน์ต่อเศรษฐกิจและประชาชนในประเทศ แต่ยังส่งผลดีต่อโลกของเราด้วย”
ด้านนายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ได้กล่าวถึงผลสำเร็จจากความร่วมมือระยะแรกกับ ‘มิชลิน ไกด์’ ที่เริ่มต้นขึ้นเมื่อปี 2560 ว่ามีส่วนส่งเสริมภาพลักษณ์ของประเทศไทยบนเวทีโลกในฐานะแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมด้านวัฒนธรรมอาหาร, เพิ่มมูลค่าและศักยภาพของอาหารไทยให้เป็นที่ยอมรับในระดับสากล, ช่วยยกระดับคุณภาพและบริการของร้านอาหารในไทย, เสริมสร้างภาพลักษณ์ที่ดีของเชฟไทยสู่สากล และส่งเสริมให้เกิดการลงทุนในร้านอาหารระดับไฮเอนด์มากขึ้น
“เราพอใจอย่างยิ่งกับผลสำเร็จที่เกิดจากความร่วมมือในระยะแรก ซึ่งสะท้อนให้เห็นอย่างเป็นรูปธรรมผ่านตัวเลขเชิงสถิติในด้านต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง สำหรับการขยายระยะเวลาความร่วมมือครั้งนี้ เราเชื่อว่าจะเป็นแรงเสริมให้ผู้ประกอบการและผู้ประกอบวิชาชีพในภาคธุรกิจร้านอาหารและการบริการมีกำลังใจที่จะฟันฝ่าและเอาชนะความท้าทายที่ต้องเผชิญ ด้วยความคิดสร้างสรรค์และศักยภาพในการปรับตัวเพื่อให้อยู่รอด รวมทั้งด้วยการนำมาตรฐานด้านความปลอดภัยและสุขอนามัยระดับสากลมาใช้ในการทำงาน”
ทั้งนี้ความร่วมมือที่ดำเนินอยู่ในปัจจุบันมีกำหนดจะสิ้นสุดลงในปลายปี 2564 นี้ ส่วนการขยายความร่วมมือต่อเนื่องไปอีก 5 ปี จะเริ่มในปี 2565 ถึงปี 2569 ซึ่งนอกเหนือจากเป้าหมายเพื่อสนับสนุนอุตสาหกรรมร้านอาหารและการบริการในช่วงระหว่างและหลังวิกฤติการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19, ส่งเสริมการฟื้นตัวของการท่องเที่ยวไทยภายหลังสถานการณ์การแพร่ระบาดเริ่มคลี่คลายลง ภายใต้ความร่วมมือนี้ยังครอบคลุมไปถึงการขับเคลื่อนนโยบายด้านเศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียว (Bio, Circular and Green Economy) ที่มุ่งให้เกิดการพัฒนาอย่างยั่งยืน