นายชาติ จิราธิวัฒน์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ฝ่ายพัฒนาโครงการ บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) หรือซีพีเอ็น ผู้บริหาร “เซ็นทรัล วิลเลจ” เปิดเผยว่า หลังเปิดให้บริการลักชูรีเอาท์เล็ต “เซ็นทรัล วิลเลจ” เป็นเวลา 2 ปีเศษ และได้รับการตอบรับจากลูกค้าเป็นอย่างดี ทำให้บริษัทพร้อมเดินหน้าลงทุนในเฟสสอง เพื่อตอกย้ำการเป็น “The First Real Luxury Outlet” โดยร่วมกับพันธมิตร “มิตซูบิชิ เอสเตท (ไทยแลนด์)” ในการนำจุดแข็งของกันและกันมา
สร้างความแตกต่างจากเอาท์เล็ตอื่นๆที่มีในเมืองไทย โดยเซ็นทรัลพัฒนามีความเชี่ยวชาญในการพัฒนาโครงการที่เป็น Destination Landmark มาแล้วทั่วประเทศ เจาะกลุ่มลูกค้ากำลังซื้อสูงซึ่งเป็นฐานลูกค้าของศูนย์การค้าเซ็นทรัลที่ตอนนี้มี 35 สาขาทั่วประเทศแล้ว ผ่านช่องทาง Intensive Omnichannel ในขณะที่มิตซูบิชิฯ มีโนฮาวและประสบการณ์ในการพัฒนาเอาท์เล็ตชื่อดังของเอเชีย ทำให้เซ็นทรัล วิลเลจ เป็นลักชูรีเอาท์เล็ท จากฝีมือของ Regional Developers ที่มีศักยภาพและมาตรฐาน
โดยเฟส 2 ของเซ็นทรัล วิลเลจ เป็นการขยายเพิ่มอีก 4 หมู่บ้าน ได้แก่ หมู่บ้านช่างทอ (Textile Village) โดดเด่นด้วยลายเส้นผ้าทอของไทย, หมู่บ้านช่างก่อ (Brick Village) กับการก่ออิฐเป็นแพทเทิร์นที่แปลกตา, หมู่บ้านช่างลายคราม (Porcelain Village) นำความสวยงามของเครื่องลายครามมาออกแบบให้มีลูกเล่น
และหมู่บ้านช่างเงินช่างทอง (Goldsmith Village) กับลวดลายสีเงินสีทองสื่อถึงความหรูหราและความประณีตท่ามกลางบรรยากาศแบบ Outdoor Experience และจุดถ่ายรูปไฮไลท์ Instagrammable Landmarks รวมถึงมีการจัดอีเว้นท์ งานอาร์ต ศิลปะร่วมสมัย ที่หมุนเวียนตลอดทั้งปี
ด้านนายโทโมฮิโกะ เองูจิ กรรมการผู้จัดการ บริษัท มิตซูบิชิ เอสเตท (ไทยแลนด์) กล่าวว่า การผนึกกำลังระหว่างมิตซูบิชิฯและเซ็นทรัลพัฒนาในแบบ Two Nations, One Success ได้พิสูจน์แล้วถึงความสำเร็จของเซ็นทรัล วิลเลจในเฟสแรก ทำให้บริษัทยังคงเชื่อมั่นในศักยภาพการเติบโตและการฟื้นตัวด้านการท่องเที่ยวของประเทศไทย
รวมไปถึงความต้องการซื้อสินค้าแบรนด์เนมในประเทศไทยที่มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ โดยการขยายโครงการเฟสสอง ทางมิตซูบิชิฯ เตรียมแผนที่จะดึงดูดแบรนด์คู่ค้าญี่ปุ่นมากขึ้น ที่มาพร้อมด้วยจุดเด่นของการให้บริการแบบญี่ปุ่น เพื่อสร้างประสบการณ์การช้อปปิ้งให้กับลูกค้าชาวไทยและชาวญี่ปุ่นที่อาศัยอยู่ในประเทศไทย รวมถึงนักท่องเที่ยวต่างชาติที่กำลังกลับเข้ามาเที่ยวในอนาคตด้วย
นายณัฐกิตติ์ ตั้งพูลสินธนา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานการตลาด ซีพีเอ็น กล่าวว่า วันนี้เซ็นทรัล วิลเลจ ประสบความสำเร็จเห็นได้จากยอดขายที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง รวมทั้งยอด Transaction หลังคลายล็อกดาวน์ในปีนี้เมื่อเปรียบเทียบกับปีก่อนพบว่ามีการเพิ่มขึ้น 14% และพบว่าเอาท์เล็ตหลายแบรนด์มียอดขายสูงเป็นอันดับ 1 ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มเครื่องสำอาง รวมถึง Exclusive Stores ก็มียอดขายที่ดีมาก อาทิ POLO RALPH LAUREN, CALVIN KLEIN, TOMMY HILFIGER เป็นต้น
อย่างไรก็ดีเซ็นทรัล วิลเลจ เฟส 2 จะเปิดให้บริการในวันที่ 28 มกราคม 2565 ส่งผลให้ภายในศูนย์มีแบรนด์ชั้นนำกว่า 300 แบรนด์ ครอบคลุมทุกไลฟ์สไตล์ตั้งแต่ Luxury brands ไปจนถึง Bridge Line ครบทุก Category โดยกลยุทธ์การทำตลาดจะมุ่งเน้นการวางแผนธุรกิจที่จะช่วยให้คู่ค้า Tenants ขยายธุรกิจได้อย่างมั่นใจกับ Flexible Leasing Programme
โดยในเฟส 2 จะมีแบรนด์เครื่องสำอางระดับโลกเข้ามาเปิด First Time Outlet รวมถึงแบรนด์ใหม่ๆ ที่จะเข้ามาเปิดอีกมากมาย อาทิ Fashion ที่เติบโตจาก Online, แบรนด์แม่และเด็ก, Sport & Adventure ฯลฯ อาทิ Pomelo, Beautrium, Pet N Me, B2S, XIAOMI BY Dimi Technology เป็นต้น
“อีกหนึ่งเป้าหมายของเซ็นทรัล วิลเลจคือ การขยายฐานลูกค้ากำลังซื้อสูง โดยสามารถดึงลูกค้าข้าม Catchment ได้ครอบคลุม Bangkok CBD ที่มีกำลังซื้อสูงโดย 70% คือลูกค้ากรุงเทพฯและปริมณฑล รวมถึงมีลูกค้าประจำที่อยู่รอบศูนย์ฯ มีโรงเรียนอินเตอร์, หมู่บ้านระดับกลางถึงไฮเอนด์ โดยในปีหน้าคาดว่าจะมีทราฟฟิกเพิ่ม 40-50%”
ทั้งนี้เซ็นทรัล วิลเลจยังสร้างไลฟ์สไตล์คอมมูนิตี้ใหม่ๆ ทั้งกลุ่มครอบครัวที่เพิ่มร้านค้าในแคทธิกอรี่ Home & Living, เครื่องครัว, ของเล่น เด็กและเสื้อผ้า พร้อมด้วยสนามเด็กเล่นขนาดใหญ่แบบ Full-scale playground, Pet-Friendly ฯลฯ กลุ่ม Wealth เจาะกลุ่ม High spender จัดกิจกรรม Supercar meeting ทุกสัปดาห์
สามารถ Targeting กลุ่มลูกค้ากำลังซื้อสูงของศูนย์การค้าเซ็นทรัลในสาขาอื่นๆ ทั่วประเทศมาต่อยอดทำ CRM Marketing ได้อย่างตรงจุด กลุ่ม Sport Lifestyle อาทิ Rev-Runner ร้านรองเท้าวิ่ง และอุปกรณ์วิ่งโดยเฉพาะ, Columbia อุปกรณ์แคมป์ปิ้ง, จักรยาน, กอล์ฟ, วิ่ง และลาน Skate park
นอกจากนี้ยังเพิ่มช่องทางการขาย รวมทั้งการจับมือกับศูนย์การค้าเซ็นทรัลทั่วประเทศ ดึงลูกค้ากำลังซื้อสูงของสาขาอื่นมาต่อยอดทำ CRM Marketing และเป็นจุดส่งต่อสินค้าให้บริการ Cross Border และมีแผนเจาะกลุ่มตลาดเอเชียและอาเซียน โดยเฉพาะกลุ่ม CLMV และมาเลเซีย นอกจากจะเป็นการปรับตัวเพื่อตอบโจทย์ลูกค้าแล้ว ยังช่วยสร้างยอดขายให้กับ Tenants ช่วยให้คู่ค้ายังคงสามารถทำธุรกิจและเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง
สำหรับเซ็นทรัล วิลเลจ มีมูลค่าโครงการรวม 5,000 ล้านบาท บนเนื้อที่กว่า 100 ไร่ ใกล้กับสนามบินสุวรรณภูมิ จึงเกิดกรณีพิพาทกับท่าอากาศยานไทย ที่ระบุว่า เซ็นทรัล วิลเลจรุกล้ำพื้นที่ราชพัสดุที่อยู่ในความครอบครองของกรมท่าอากาศยานไทย จนเกิดการปิดล้อมทำให้ร้านค้าไม่สามารถเข้าพื้นที่ได้ ที่สุดเซ็นทรัลพัฒนาได้ยื่นฟ้องต่อศาลปกครองกลาง และศาลปกครองกลางมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวทำให้เซ็นทรัล วิลเลจสามารถเปิดบริการได้ในวันที่ 31 สิงหาคม 2562
หน้า 14-15 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 41 ฉบับที่ 3,740 วันที่ 16 - 18 ธันวาคม พ.ศ. 2564