การฟื้นความสัมพันธ์ระหว่างไทยและซาอุดีอาระเบียได้สำเร็จ ส่งผลต่อการพลิกฟื้นการท่องเที่ยวของไทย หลังจาก 30 ปีที่ผ่านมา ซาอุดีอาระเบีย ไม่อนุญาตให้พลเรือนเดินทางมายังประเทศไทยสำหรับการท่องเที่ยว แต่อนุญาตให้เดินทางเฉพาะเพื่อการรักษาพยาบาล การติดต่อเจรจาธุรกิจ/ราชการเท่านั้น
การปลดล็อกการแบนมาไทยพร้อมการเตรียมเปิดบินตรงเข้าไทย โดยสายการบินซาอุดีอาราเบียน แอร์ไลน์ส ในต้นเดือนพฤษภาคมนี้ จึงเป็นการสร้างโอกาสอย่างมากให้กับการท่องเที่ยวของไทย เนื่องจากที่ ผ่านมาไทยไม่มีเส้นทางบินตรงจากซาอุดีอาระเบียเข้าไทย การเดินทางมาไทยจะต้องบินจากกรุงริยาดหรือเมืองเจ็ดดาห์แวะเปลี่ยนเครื่องด้วยสายการบินเอมิเรสต์ (ดูไบ) หรือสายการบินเอธิฮัด (กรุงอาบูดาบี) หรือ กาตาร์ แอร์เวย์ส (กรุงโดฮา) ใช้เวลา 6 ชั่วโมงกว่า
ขณะนี้ซาอุดีอาระเบียน แอร์ไลน์ส ได้เริ่มโปรโมทการเตรียมเปิดบินเข้าไทยแล้ว “ Explore Thailand The Land of Culture” และเตรียมจะเริ่มเปิดจองตั๋วได้เร็วๆ นี้ อีกทั้งก็เริ่มเห็นเว็บไซต์ชื่อดังของซาอุดีอาระเบียโปรโมทสถานที่ท่องเที่ยวในประเทศไทยแล้วด้วยเช่นกัน
พฤติกรรมการเดินทางของนักท่องเที่ยวซาอุดีอาระเบีย จะนิยมเดินทางท่องเที่ยวกับครอบครัว โดยกลุ่มครอบครัวมักจะมีขนาดค่อนข้างใหญ่ 7-8 ขึ้นไป นิยมเที่ยวทะเล ชายหาด สถานบันเทิง ธรรมชาติ รวมถึงเดินทางมาตรวจรักษาพยาบาลในไทยเฉลี่ยไม่ตํ่ากว่า 30% ของจำนวนนักท่องเที่ยวทั้งหมดในแต่ละปี ส่วนกิจกรรมท่องเที่ยวที่นิยมมากที่สุด คือ การจับจ่ายสินค้าโดยเฉพาะนักท่องเที่ยวกลุ่มเดินทางซํ้า นิยมเดินทางมาช้อปปิ้งทั้งสินค้าทั่วไปและสินค้าแบรนด์เนม
แหล่งท่องเที่ยวภายในประเทศไทยที่ได้รับความนิยม ได้แก่ กรุงเทพฯ(60.75%) ภูเก็ต (57.83%) พัทยา (43.96%) พังงา (9.20) กระบี่ (8.07%)เกาะสมุย (4.94%) เชียงใหม่ (4.90%) สำหรับช่วงเวลาที่นักท่องเที่ยวชาวซาอุดีอาระเบียนิยมเดินทางมาไทย จะแบ่งออกเป็น 5 ช่วงเวลา ได้แก่
1. ช่วงก่อนเทศกาลศีลอด (Pre-Ramadan) ในปี 2565 นี้ คาดว่านักท่องเที่ยวชาวซาอุฯจะเดินทางท่องเที่ยวต่างประเทศในช่วงหนึ่งเดือนสุดท้ายก่อนที่จะเข้าสู่ช่วงเทศการศีลอด ซึ่งคาดว่าจะตรงกับช่วงกลาง- ปลายมีนาคม 2565 (เทศกาลศีลอด หรือ Ramadan จะอยู่ประมาณช่วงวันที่ 2 เมษายน-2 พฤษภาคม 2565
2. ช่วงฤดูร้อน (Summer Break)ในปี 2565 จะตรงกับช่วงกลางเดือนกรกฎาคมถึงปลายเดือนสิงหาคมเนื่องจากเป็นช่วงวันหยุดยาวของโรงเรียน ซึ่งจะเป็นช่วงที่ชาวซาอุฯนิยมพาครอบครัวเดินทางออกไปท่องเที่ยวในต่างประเทศมากที่สุด
3. ช่วงวันหยุดยาวหลังจากจบเทศกาลศีลอด EID AL FITR ช่วงประมาณวันที่ 2-4 พฤษภาคมนี้ โดยประเทศซาอุฯจะประกาศหยุดยาวกว่าประเทศอื่นๆ ในอาหรับประมาณ 10-14 วัน
4. ช่วงวันหยุดปลายปี และเทศกาลปีใหม่
ดังนั้นในช่วงก่อนเดือนพ.ค. ที่ซาอุดิระเบีย แอร์ไลน์ส จะเปิดบินตรงเข้าไทย นักท่องเที่ยวคงต้องใช้บริการสายการบินเอมิเรตส์, กาตาร์แอร์ไลน์ส และเอธิฮัด เนื่องจากมีการเชื่อมจากการเมืองหลักของกรุงริยาร์ดและเมืองรองอย่างเจ็ดดาห์ ซึ่งการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.)สำนักงานดูไบก็ทำตลาดผ่าน 3 สายการบินหลักนี้ รวมถึงการทำตลาดร่วมกับซาอุดิอาระเบีย ที่เตรียมจะเปิดบินตรงเข้าไทยในเดือนพ.ค.นี้ เพื่อส่งเสริมและกระตุ้นนักท่องเที่ยวกลุ่มตลาดนักท่องเที่ยว กลุ่ม Revisit
ขณะที่ผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยวในซาอุดีอาระเบียส่วนใหญ่ต้องการข้อมูลเกี่ยวกับ Tourism Product ใหม่ๆ เพื่อนำเสนอขายให้กับกลุ่ม Family, Millennial, Romance, Health & Wellness โดยเฉพาะการ อัพเดต Tourism Product สำหรับกลุ่ม Family, Millennial Couple และ Health & Wellness โดยเฉพาะ
นอกจากนี้การฟื้นความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้น ยังเปิดโอกาสให้เกิดการแลกเปลี่ยนแรงงาน ซึ่งซาอุดีอาระเบียให้ความสำคัญกับการพัฒนาอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว หนึ่งในเป้าหมายทางยุทธศาสตร์ของซาอุดีอาระเบียเพื่อสร้างความหลากหลายทางเศรษฐกิจโดยในช่วงที่ผ่านมาได้เปิดตัวโครงการขนาดใหญ่และสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ดังนี้
1. โครงการ NEOM เมืองแห่งอนาคต เน้นใช้พลังงานสะอาด ไร้มลพิษ โดยตั้งเป้าหมายให้เป็นศูนย์กลางด้านนวัตกรรมเทคโนโลยีและเขตธุรกิจชั้นนำของโลก มีแผนคาดว่าจะดำเนินการแล้วเสร็จในปี 2568 ซึ่งจะสร้างงานใหม่ได้กว่า 380,000 ตำแหน่ง
2. เมือง Al-Ula แหล่งมรดกทางวัฒนธรรมและโบราณคดีของโลกซึ่งเป็นที่ตั้งของศูนย์กลางการวิจัยทางโบราณคดีและการอนุรักษ์ระดับโลก (The Kingdoms Institute) และได้เปิดตัวเมื่อปี 2564 ที่ผ่านมา
3. Red Sea Project โครงการพัฒนาหมู่เกาะริมชายฝั่งทะเลแดงในมณฑล Tabouk ซึ่งอยู่ใกล้กับเมือง Al-Ula เน้นการจัดกิจกรรมท่องเที่ยวทางทะเลและชายฝั่ง เช่น การดำนํ้าปีนเขา กีฬาผาดโผนต่างๆ ใช้พลังงานหมุนเวียนภายในโครงการทั้งหมด คาดว่าจะเปิดตัวเฟสแรกในช่วงปลายปี 2565 และมีกำหนดการแล้วเสร็จในปี 2573 ซึ่งในช่วงของการก่อสร้างโครงการจะก่อให้เกิดการจ้างงานได้กว่า 70,000 ตําแหน่ง
ทั้งนี้โครงการเหล่านี้ล้วนเป็นโอกาสสำคัญสำหรับผู้ประกอบการไทย โดยเฉพาะภาคธุรกิจการบริการและการโรงแรม รวมทั้งจะส่งเสริมการท่องเที่ยวระหว่างกันนั่นเอง