สถานการณ์ความเคลื่อนไหวในระดับโลกที่มีมาอย่างต่อเนื่อง ยังคงเป็นความท้าทายที่ส่งผลให้ธุรกิจต้องมีการปรับตัว อย่างไรก็ตามแม้ช่วงปี 2564 จะมีปัจจัยแวดล้อมทั้งภายในและภายนอกประเทศที่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจมากมาย แต่ เบทาโกร ยังสามารถสร้างการเติบโตทางธุรกิจได้ดีโดยมีผลประกอบการสิ้นสุด ณ 31 ธันวาคม 2564 บริษัทมียอดรายได้จำนวน 85.4 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 6.6% เมื่อเทียบกับปี 2563 ที่มีรายได้ 80.1 พันล้านบาท
โดยเป็นการเติบโตทั้งตลาดในประเทศและต่างประเทศควบคู่กัน แบ่งเป็นสัดส่วนรายได้จากกลุ่มธุรกิจเกษตร 29% กลุ่มธุรกิจอาหารและโปรตีน 63.4% กลุ่มธุรกิจต่างประเทศ 5.7% กลุ่มธุรกิจสัตว์เลี้ยง 1.8% และกลุ่มธุรกิจอื่น ๆ 0.1% โดยการเติบโตของรายได้ที่เพิ่มขึ้นมาจากยอดขายที่เพิ่มขึ้นจากทุกธุรกิจ ทั้งธุรกิจเกษตร ธุรกิจอาหารและโปรตีน ธุรกิจสัตว์เลี้ยง รวมถึงธุรกิจในต่างประเทศที่มีการขยายกำลังการผลิตทั้งในประเทศลาวและกัมพูชา
ล่าสุด ผู้บริหารออกมาเปิดเผยถึงทิศทางของ เบทาโกร ในปีนี้ โดยหลักสำคัญคือแผนกลยุทธ์ใหม่ POWERING CHANGE ปรับองค์กรสู่การทรานสฟอร์มครั้งใหญ่ใน 5 ไดเมนชั่น เพื่อสร้างความมั่นคงทางอาหารและหนุนให้เศรษฐกิจฟื้นตัวเร็วขึ้น
ทั้งนี้นายวสิษฐ แต้ไพสิฐพงษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เบทาโกร จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่าภายใต้สถานการณ์ความเคลื่อนไหวในระดับโลก ที่ส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจทั่วโลกในหลายอุตสาหกรรม ทั้งการแพร่ระบาดของ COVID-19 เข้าสู่สถานประกอบการ การกลายพันธุ์ของไวรัสสายพันธุ์โอมิครอน ซึ่งระบาดและติดเชื้อได้ง่าย สถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างรัสเซีย-ยูเครนที่ยังคงยืดเยื้อ
สองปัจจัยหลักนี้นอกจากจะส่งผลโดยตรงต่อต้นทุนการผลิตสินค้าและบริการที่เพิ่มขึ้นแล้ว ยังเป็นปัจจัยเร่งสำคัญที่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้บริโภค รวมถึงการเฝ้าระวังโรคระบาดในสัตว์ที่อาจเกิดขึ้น ความคาดหวังของผู้บริโภคที่มีต่อธุรกิจ ในการเป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาที่ยั่งยืน
และการกำหนดดัชนีชี้วัดเชิงคุณภาพความสำเร็จของธุรกิจแบบใหม่ ที่ให้ความสำคัญกับบริบททางสังคม ควบคู่กับการเติบโตในเชิงตัวเลข ปัจจัยเหล่านี้ยังคงเป็นความท้าทายที่ส่งผลกระทบต่อภาคเศรษฐกิจ อุตสาหกรรม และสังคมอย่างต่อเนื่อง
สำหรับปีนี้ เบทาโกรได้ตั้งเป้าการเติบโตมากกว่า 2 ดิจิด และเตรียมงบสำหรับการลงทุนในปีนี้ไม่ต่ำกว่า 5,000 ล้านบาท เพื่อใช้ลงทุนขยายฟาร์มพ่อ-แม่พันธุ์ไก่และสุกร ขยายโรงงานอาหารสัตว์ ปรับปรุงเครื่องจักรและเพิ่มไลน์การผลิตในโรงงาน
“ในปีนี้เราจะมีการลงทุนในเรื่องของการขยายฟาร์ม โดยเฉพาะฟาร์มพ่อ-แม่พันธุ์ไม่ว่าจะเป็นไก่หรือสุกรและโรงงานอาหารสัตว์ขนาดใหญ่ที่เน้นย้ำทั้งเรื่องESG และ Automation ซึ่งตอนนี้ได้เริ่มกำลังการผลิตไปแล้ว ส่วนในเรื่องของธุรกิจอาหารเองวันนี้เรามีการพัฒนาเรื่องของการลงทุนปรับปรุงเครื่องจักรและเพิ่มไลน์การผลิตในโรงงานที่เราคิดว่าปรับปรุงได้ตาม demand
ส่วนโรงงานประกอบอาหารขนาดใหญ่เรามีไปป์ไลน์อยู่พอสมควรและมีการลงทุนโรงงานขนาดกลางในภูมิภาคไม่ว่าจะเป็นโรงงานแปรรูปสุกรไก่หรือโรงคัดไข่ สำหรับธุรกิจการส่งออกเนื่องจากเรามีซาฟารีตี้ที่ดีอยู่แล้วเราก็มีการเพิ่มการลงทุนไลน์เครื่องจักรและการลงทุนในโรงงานใหม่ซึ่งจะช่วยทำให้ธุรกิจส่งออกเติบโตมากขึ้น และเป็นการปรับพอร์ตโฟลิโอสินค้าของเราด้วย
ส่วนในเรื่องของต้นน้ำก็จะเป็นเรื่องของการนำเสนอSolution Providerมากขึ้น เพราะวันนี้เกษตรกรต้องการการปรับตัวไปสู่ระบบการควบคุมความปลอดภัยทางด้านชีวอนามัย เราเองก็มีความพร้อมที่จะตอบโจทย์และช่วยให้เกษตรกรพัฒนาตัวเองขึ้นไปอีกก้าวหนึ่ง ซึ่งเรามี budget ไม่ต่ำกว่า 5,000 ล้านบาทที่จะใช้ลงทุนต่อเนื่องในทุกๆปี
สำหรับการเติบโตปีนี้คาดว่าเราน่าจะเติบโตมากกว่าปี 2021 แน่นอน เนื่องจากปัจจัยบวกที่กลับเข้ามาในหลายๆเรื่องทั้งในสิ่งที่เราลงทุนไว้ และเรื่องของราคาสินค้าหลักๆเพราะฉะนั้นการเติบโตที่มากกว่า 2ดิจิดเป็นไปได้”
นอกจากนี้ บริษัทยังได้วางกลยุทธ์เพื่อการขับเคลื่อนธุรกิจ ภายใต้แนวคิด “POWERING CHANGE” ด้วยการผนึกกำลังทั้งองค์กรในการสร้างการเปลี่ยนแปลงภายใน ให้พร้อมรับมือกับความท้าทายและสร้างความมั่นคงทางอาหารและเศรษฐกิจให้เกิดขึ้น โดยมีกรอบการขับเคลื่อนใน 5 ด้านสำคัญ ได้แก่