ตลาดความงามทั่วโลกกลับมาคึกคักอีกครั้ง รวมถึงตลาดความงามในประเทศไทยที่มีขนาดเป็นอันดับที่ 2 ในภูมิภาค SAPMENA (เอเชียแปซิฟิกใต้ ตะวันออกกลาง และ แอฟริกาเหนือ) โดยลอรีอัล ประเทศไทย เป็นหนึ่งใน 5 ตลาดหลักในภูมิภาคดังกล่าว โดยยังสามารถคงอัตราการเติบโตเหนือตลาด และครองส่วนแบ่งการตลาดเพิ่มขึ้นในทุกกลุ่มผลิตภัณฑ์อย่างต่อเนื่อง
นางอินเนส คาลไดรา กรรมการผู้จัดการ ลอรีอัล ประเทศไทย พม่า ลาว และกัมพูชา กล่าวว่า ปี 2564 นับเป็นปีแห่งประวัติศาสตร์สำหรับลอรีอัล กรุ๊ป และปีที่น่าประทับใจของลอรีอัล ประเทศไทยในการครองส่วนแบ่งการตลาดที่สูงขึ้น ท่ามกลางวิกฤตโควิด 19 และกระแสความท้าทายของดิจิทัลที่รุกเข้ามาอย่างต่อเนื่อง
โดยตลาดความงามทั่วโลกเติบโต 8% แบ่งเป็น NORTH AMERICA โต 12%, LATIN AMERICA โต 7%, SAPMENA / SSA โต 5%, EUROPE โต 7% และ NORTH ASIA โต 7% ส่วนลอรีอัลจากปี 2563 มีแชร์ทั่วโลกที่ 13.2% แต่ในปีที่ผ่านมาเพิ่มเป็น 14.2% เป็นอันดับ 1 ของโลก ทั้งนี้เชื่อว่าในปีต่อๆ ไปตลาดความงามจะยิ่งเติบโตมากยิ่งขึ้น จากการที่ผู้บริโภคกลับมาถอดหน้ากากและใช้ชีวิตกันปกติ
สำหรับประเทศไทย ปีที่ผ่านมาตลาดความงามโต 5% หรือมีมูลค่ารวมกว่า 1.44 แสนล้านบาท ซึ่งกลุ่มผลิตภัณฑ์ดูแลผิวครองส่วนแบ่งสูงสุดที่ 57.5% อันดับ 2 คือ กลุ่มผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผม 21% 3. กลุ่มเมกอัพ 15.5% และ 4. น้ำหอม 6% โดยตลาดความงามประเทศไทยมีขนาดเป็นอันดับ 2 ในภูมิภาค SAPMENA (เอชียแปซิฟิก ตะวันออกกลาง และแอฟริกาเหนือ)
และลอรีอัล ประเทศไทย เป็นหนึ่งใน 5 ตลาดหลักในภูมิภาคดังกล่าว ทั้งนี้ ในส่วนของตลาดในประเทศไทย ลอรีอัลเติบโตสูงกว่าตลาดและส่วนแบ่งตลาดที่เพิ่มขึ้น โดยแผนกผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางเติบโต 2 เท่าใน 3 ปี และช่องทางออฟไลน์ตามห้างกลับมาเติบโตอีกครั้ง
“ช่องทางออฟไลน์ยังเป็นช่องทางหลักสำคัญในด้านการส่งมอบประสบการณ์ Beauty Tech และสร้างแรงบันดาลใจด้านความงามให้กับผู้บริโภคได้อย่างสมบูรณ์ยิ่งขึ้น นอกจากนั้น บริษัทยังสามารถทำยอดขายได้เป็นอันดับ 1 ในกลุ่มตลาดอีคอมเมิร์ซอีกด้วย ต้องยกเครดิตให้แก่ความเชี่ยวชาญ ความกระตือรือร้น และความมุ่งมั่นของพนักงานลอรีอัล ประเทศไทยทุกคน”
ขณะที่ตลาดความงามในไทยช่วง 4-5 เดือนที่ผ่านมาเติบโตแล้ว 4-5% ถึงสิ้นปีนี้มองว่าจะเติบโตมากกว่าปีก่อน โดยลอรีอัลมั่นใจว่าจะเติบโตมากกว่าตลาด ซึ่งลอรีอัลตั้งเป้าเป็นอันดับ 1 ด้าน Beauty Tech ในผลิตภัณฑ์ 4 กลุ่ม คือ ผลิตภัณฑ์เส้นผมสำหรับมืออาชีพ, ผลิตภัณฑ์ความงามชั้นสูง, คอนซูเมอร์โปรดักต์ที่มีขายทั่วไป และเวชสำอาง ส่วนแบรนด์ที่มีแนวโน้มเติบโตสูงและพร้อมทำตลาดในปีนี้ คือ CareVe, Kerastase, L’oreal, Yves Saint Laurent และ Kiehl’s”
อย่างไรก็ดี เพื่อสร้างการเติบโตให้กับบริษัทในปีนี้และปีต่อๆ ไปอย่างแข็งแกร่ง ลอรีอัลจะมุ่งมั่นนำเสนอนวัตกรรมผลิตภัณฑ์และบริการผ่านการค้นคว้าวิจัยและการพัฒนานวัตกรรม พร้อมเดินหน้ายกระดับเทคโนโลยีดิจิทัล เพื่อตอกย้ำการเป็นผู้นำด้าน Beauty Tech อย่างต่อเนื่อง
การพัฒนานวัตกรรมผลิตภัณฑ์และบริการเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคนับเป็นหัวใจสำคัญในการดำเนินธุรกิจของลอรีอัล ปัจจุบันบริษัทได้ทุ่มเททั้งด้านงบประมาณและทรัพยากรให้กับงานด้านการค้นคว้าวิจัย และการพัฒนานวัตกรรม 3 ด้านได้แก่
1. รังสรรค์สูตรผลิตภัณฑ์ด้วยเทคโนโลยี AI
2. ประยุกต์ใช้วิทยาศาสตร์เพื่อสิ่งแวดล้อม
3. ลงทุนในการสร้างพันธมิตรด้าน data ในบริษัทแนวหน้า โดยมีเป้าหมายเพื่อช่วยในการกำหนดอนาคตอุตสาหกรรมความงาม และตอบสนองความต้องการที่หลากหลายของผู้บริโภคทั่วโลก
“การรังสรรค์สูตรผลิตภัณฑ์ด้วยเทคโนโลยี AI และวิทยาศาสตร์เพื่อสิ่งแวดล้อมจะเป็นสูตรสำเร็จสำคัญที่ช่วยให้ลอรีอัลสามารถสร้างสรรค์นวัตกรรมได้อย่างต่อเนื่องในทุกขั้นตอนวงจรชีวิตผลิตภัณฑ์ ด้วยเครื่องมือและวิทยาศาสตร์ขั้นสูงเหล่านี้ ผลิตภัณฑ์ของลอรีอัลจะผลิตโดยใช้วัตถุดิบจากธรรมชาติผ่านนวัตกรรมเทคนิครูปแบบใหม่
โดยใช้ส่วนผสมจากธรรมชาติ หรือส่วนผสมที่ผ่านกระบวนการทางธรรมชาติด้วยเทคโนโลยีชีวภาพ ตลอดจนกระบวนการปรับปรุงสูตร กระบวนการสกัดหรือหมัก และเคมีที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมที่มีประสิทธิภาพ