นายอมาร์ ลัลวานี่ ประธานกรรมการบริหาร Standard International บริษัทแม่เครือโรงแรม The Standard (เดอะ สแตนดาร์ด) เปิดใจการดำเนินธุรกิจของ The Standard ล่าสุดว่า
ธุรกิจขยับรับเปิดประเทศ
ช่วงโควิด-19 ที่ผ่านมา สร้างความยากลำบากให้ธุรกิจโรงแรมค่อนข้างมาก โดยเฉพาะในช่วงที่มีการล็อกดาวน์ แต่เนื่องจากเรามีแสนสิริ เป็นผู้ถือหุ้น เราค่อนข้างมั่นใจและเชื่อมั่นได้ว่าแสนสิริ จะช่วยผลักดันให้ The Standard ขยายธุรกิจได้ตามแผนที่วางไว้
ทั้งเมื่อประเทศต่างๆเริ่มเปิดประเทศ เราก็จะเห็นว่านักท่องเที่ยวก็กลับขึ้นมาเช่นกัน และหลายโรงแรมในเครือ The Standard ในขณะนี้ก็มีอัตราการเข้าพักเฉลี่ยขยับเพิ่มขึ้นสูงกว่าก่อนโควิดแล้ว ไม่ว่าจะเป็นโรงแรมที่ไมอามี เท็กซัส เม็กซิโก
สะท้อนให้เห็นว่าประเทศที่มีการจำกัดการเดินทางต่ำ ธุรกิจด้านการท่องเที่ยวก็จะเติบโตขึ้นและเร็วกว่าเดิมด้วย โดยเฉพาะธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม(F&B) ที่ก็เติบโตดีมากเช่นกันเมื่อเทียบกับก่อนโควิด เนื่องจากธุรกิจด้านการจัดเลี้ยง อีเว้นท์ต่างๆกลับขึ้นมา เพราะคนเริ่มกลับมาใช้ชีวิตปกติ
ประกอบกับโรงแรมภายใต้แบรนด์ The Standard ฐานลูกค้าหลักเป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวเลเชอร์ ที่มาพักผ่อนท่องเที่ยว ตลาดจึงกลับมาเร็ว ไม่เหมือนโรงแรมอื่นที่อาจรับแต่นักท่องเที่ยวกรุ๊ปทัวร์ หรือกลุ่มทัวร์จีน ธุรกิจจึงยังไม่กลับมา
สำหรับการดำเนินธุรกิจโรงแรมในไทย เมื่อไทยเปิดประเทศเต็มรูปแบบ และด้วยฐานลูกค้า ของ The Standard ก็จะมีนักท่องเที่ยวจากสหรัฐอเมริกาและยุโรป เดินทางมาเที่ยวไทย เพราะก่อนโควิดกรุงเทพ ก็เป็นเมืองท่องเที่ยวอันดับ1ของโลก
ขณะที่โรงแรมในไทยในเครือ The Standard ก็มีแนวโน้มที่ดีหลังรัฐผ่อนคลายมาตรการต่างๆอย่างที่เดอะ สแตนดาร์ด หัวหิน ซึ่งเป็นการลงทุนของแสนสิริ ที่เพิ่งเปิดให้บริการเมื่อปลายปีที่ผ่านมา ก็ได้รับการตอบรับดีมาก ช่วงวันหยุดอัตราเข้าพักอยู่ที่ 100% หรือเฉลี่ยทั้งสัปดาห์อยู่ที่ 70% ค่าห้องพักเฉลี่ยอยู่ที่ 6,500 บาท ซึ่งแบรนด์เดอะ สแตนดาร์ด และประสบการณ์ในการเข้าพัก ที่แตกต่างจากโรงแรมอื่นๆในหัวหิน ก็ทำให้เรามีทั้งลูกค้าคนไทย และการลดข้อจำกัดในการเดินทางเข้าไทย ก็จะทำให้โรงแรมมีลูกค้าต่างชาติที่รักในแบรนด์เดอะ สแตนดาร์ด เดินทางเข้ามาพักเพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน
หรือแม้แต่โรงแรม เดอะ เภรี โฮเต็ล เขาใหญ่ อัตราการเข้าพักที่สูงที่สุดตั้งแต่เปิดโรงแรมจนถึงปัจจุบันอยู่ที่ 91% ช่วงเดือนธันวาคม 2564 ส่วนในวันหยุดสุดสัปดาห์ระหว่างเดือนมกราคม – เมษายน 2565 อยู่ที่ 74.5% ส่วนโรงแรม เดอะ เภรี โฮเต็ล หัวหิน อัตราการเข้าพัก ที่สูงที่สุดตั้งแต่เปิดโรงแรมจนถึงปัจจุบัน อยู่ที่ 70% เดือนเมษายน 2565 และวันหยุดสุดสัปดาห์ระหว่างเดือนมกราคม – เมษายน 2565 อยู่ที่ 72.1%
ขยายแบรนด์โรงแรมนอกสหรัฐฯ
สำหรับการขยายธุรกิจของ The Standard ที่ผ่านมาลูกค้าหลักจะเป็นสหรัฐอเมริกา คิดเป็นสัดส่วนกว่า 80% เพราะเรามีโรงแรมหลายแห่งที่นั่น แต่เมื่อเราขยายแบรนด์โรงแรมในประเทศต่างๆมากขึ้นทั้งในยุโรป และเอเชีย ตามแผน 5 ปีที่วางไว้ ไม่ว่าจะเป็น สิงคโปร์ ลิสบอน มิลาน ก็จะทำให้เราบาลานซ์ตลาดให้หลากหลาย
โดยการขยายแบรนด์ในประเทศต่างๆส่วนใหญ่เป็นการรับบริหาร โดยเราก็จะเลือกโครงการเพื่อสร้างให้เป็นแฟล็กซิพของเรา อย่าง เดอะ สแตนดาร์ด ลอนดอน ก็จะเป็นแฟล็กซิพของเราในยุโรป เพราะเป็นเดสติเนชั่นที่นักท่องเที่ยวจากทั่วโลกเดินทางและบินเข้ามาจำนวนมาก ส่วนโรงแรม เดอะ สแตนดาร์ด แบงค็อก มหานคร ซึ่งตั้งอยู่ใจกลางกรุงเทพฯ บนทำเลย่านธุรกิจภายในตึกที่เป็นไอคอนนิค คิงเพาเวอร์ มหานคร ที่จะเปิดให้บริการในช่วงไตรมาส 3 ปีนี้ ก็จะเป็นโครงการแฟล็กชิพของเราในเอเชีย เพราะกรุงเทพฯเป็นศูนย์กลางการเดินทางท่องเที่ยวของเอเชีย
นอกจากนี้เรายังได้พัฒนาแบรนด์ใหม่ คือ “ The Standard Residence” (เดอะ สแตนดาร์ด เรสซิเด้นซ์) เพื่อบริหารจัดการให้โครงการเรสซิเด้นซ์ต่างๆ ที่ต้องการการบริหารจัดการพื้นที่ส่วนกลาง และการออกแบบต่างๆตามสไตล์ของ The Standard ซึ่งเป็นที่ชื่นชอบของลูกค้าที่เคยมาสัมผัสประสบการณ์ในการเข้าพักที่โรงแรม แล้วเมื่อมีเรสซิเด้นซ์ ก็อยากได้ประสบการณ์เหมือนมาพักที่โรงแรม โดย The Standard Residence จะเริ่มแห่งแรกที่ไมอามี สหรัฐอเมริกา จากนั้นก็จะมีที่ลิสบอน โปรตุเกส เป็นแห่งที่ 2 ติดกับโรงแรม เดอะ สแตนดาร์ด ลิสบอน ที่อยู่ในแผนเตรียมจะเปิดให้บริการด้วย
รวมไปถึง The Standard ยังมีแบรนด์ในเครือ คือ The Peri Hotel ซึ่งเป็นโรงแรมสไตล์บูทีค โฮเต็ล ซึ่งที่ผ่านมานอกจากจะมีอยู่แล้ว 2 แห่ง คือที่ เขาใหญ่ และ หัวหิน ก็มีแผนขยายแบรนด์นี้เพิ่มขึ้น โดยล่าสุดได้เข้าไปรับบริหาร เดอะ เภรี โฮเต็ล สุขุมวิท ที่จะเปิดให้บริการในปี 2567 และมองจะขยายแบรนด์นี้เพิ่มขึ้นในไทยและในเอเชียด้วย ราว 5-10 แห่งในช่วง 5 ปีนี้ (ปี2566-2570) โดยมองไว้ที่ ภูเก็ต เกาะสมุย เชียงใหม่ พัทยา บาหลี เวียดนาม ราว 5-10 แห่งในช่วง 5 ปีนี้ (ปี2566-2570)
“การขยายแบรนด์ต่างๆของ The Standard จะเน้นทำงานร่วมกับเจ้าของโครงการต่างๆ เพื่อขยายการรับบริหารเป็นหลัก การขยายแบรนด์ไม่ได้เร่งรีบ แต่จะโฟกัสใน 3 สิ่งสำคัญ คือ การสร้างธุรกิจร่วมกันกับพาร์ทเนอร์ที่ใช่ ในสถานที่ใช่ และในเวลาที่ถูกต้อง” นั่นเอง