นางสาวปิยจิต รักอริยะพงษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เซ็ปเป้ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า โอกาสของตลาดกัญชงมีค่อนข้างสูง เป็นพืชเศรษฐกิจใหม่ของประเทศไทยถ้ามองในมุมของตลาดโลกกัญชง กัญชา มีมาร์เก็ตไซซ์ประมาณ 5,000 ล้านเหรียญ เติบโตอย่างต่อเนื่อง 20% ต่อปี สำหรับประเทศไทยกัญชงเป็นสินค้าที่ค่อนข้างใหม่ที่มีศักยภาพค่อนข้างสูง และมีตลาดรองรับไม่ว่าจะเป็นเครื่องดื่ม สินค้าอุปโภคบริโภคต่างๆ ที่จะออกสู่ตลาดในหลายๆทาง
สำหรับเซ็ปเป้มีแผนนำสารสกัดกัญชงมาผสมในเครื่องดื่มนวัตกรรมของบริษัท ซึ่งคาดว่าในช่วงครึ่งปีหลังจะเห็นสินค้าที่มีสารสกัดของกัญชงเข้าไปอยู่ในพอร์ตสินค้าของบริษัท โดยเป็นผลิตภัณฑ์ในกลุ่มฟังก์ชันนอลดริ้งก์ก่อนจะแตกไลน์ไปในแคทธิกอรี่อื่นๆออกมา
“คาดว่าในไตรมาสนี้จะมีผลิตภัณฑ์ออกมาจำหน่ายในกลุ่มของเบฟเวอเรจ และในฟอร์แมทอื่นด้วย ซึ่งตอนนี้เราพัฒนาอยู่มีทั้งในส่วนของอาหารและเครื่องดื่มและที่ไม่ใช่เครื่องดื่มด้วย ในส่วนของวัตถุดิบเรามีการร่วมมือกับกันกุลในการซื้อสารสกัดเพื่อนำมาพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์ ซึ่งจะเน้นทำตลาดในประเทศก่อนเพราะยังมีศักยภาพพอสมควร แต่ด้วยความที่ตลาดกัญชงเป็นตลาดที่ค่อนข้างใหม่ เพราะฉะนั้นการให้ความรู้กับผู้บริโภคเป็นเรื่องที่สำคัญมากซึ่งส่วนหนึ่งภาครัฐให้ความรู้ไปบ้างแล้ว
เซ็ปเป้เองการจะพัฒนาสินค้าออกมาต้องให้ความรู้ผ่านสื่อและการตลาดต่างๆ ถึงข้อดีของสารสกัดตัวนี้มีอะไรบ้าง นอกจากนี้ผู้บริโภคสามารถวางใจในสินค้าเราได้เพราะมีอย.ควบคุมปริมาณสารสกัดที่จะใส่ลงไปในอาหารและเครื่องดื่ม ซึ่งสินค้าที่จะออกจากเซ็ปเป้เองก็ต้องผ่านอ.ย”
สำหรับประเด็นของกระแสต่อต้านกัญชง-กัญชาในสังคมนั้นมองว่าการสื่อสารเป็นเรื่องสำคัญมากผู้ประกอบการจะต้องสื่อสารกับผู้บริโภค และมองว่าผู้บริโภคอายุระดับใดที่เหมาะกับการดื่ม ระดับอายุใดที่ยังไม่ควรดื่ม เพราะฉะนั้นการจำกัดเซ็กเม้นท์กลุ่มเป้าหมายเป็นเรื่องที่สำคัญมาก ซึ่งเซ็ปเป้ให้ความสำคัญสูงในเรื่องของกลุ่มผู้บริโภคเป้าหมายที่จะไม่แตะกลุ่มที่อายุน้อย
เพราะมองว่าสารสกัดเหล่านี้เหมาะกับคนที่โตแล้วดังนั้นกลุ่มเป้าหมายของเซ็ปเป้คือผู้ที่มีอายุ 20 ปีขึ้นไป เป็นคนที่เปิดรับสิ่งใหม่ๆ และเป็นกลุ่มที่เหมาะสมกับสินค้าเพราะสารสกัดจากกัญชงมีประโยชน์แต่จะต้องบริโภคให้ถูกและมีกลุ่มเป้าหมายที่ชัดเจน เพราะฉะนั้นกระแสต่อต้านคิดว่าคงมีเพราะเป็นเรื่องที่ใหม่สำหรับสังคมไทย
นอกจากนี้พื้นที่ในการวางสินค้าก็เป็นเรื่องสำคัญ ซึ่งเซ็ปเป้จะวางจำหน่ายทั่วไป แต่จะไม่ไปวางจำหน่ายใกล้ๆโรงเรียนหรือสถานศึกษา เพื่อให้ผู้บริโภครู้สึกว่าการเข้าถึงมันอยู่ในวงจำกัด ซึ่งส่วนนี้น่าจะช่วยในการเข้าถึงของเยาวชนได้พอสมควร
“กฎหมายลูกที่กำลังจะออกมาน่าจะเป็นประโยชน์กับผู้บริโภคโดยรวม เพราะจะมีความชัดเจนว่าใครที่จะสามารถเป็นผู้บริโภคได้ หรือผลิตภัณฑ์ไหนที่ออกมาแล้วไม่ได้ถูกจำกัด ซึ่งเราเชื่อว่าสินค้าประเภทเวชสำอางจะเป็น เซ็กเม้นท์ที่การจำกัดอาจจะไม่ได้รุนแรงเท่ากับสินค้าอุปโภคบริโภค ส่วนคู่แข่งในตลาดเครื่องดื่มมีมากตลอดเวลา สิ่งที่เราทำได้ดีตลอดคือเราสามารถที่จะสร้างความยูนีคในสินค้าของเราได้ โดยสินค้าที่เราจะออกมาจะเป็นสินค้าที่อาจจะไม่ได้มีอยู่ในตลาด ณ เวลานี้ เพื่อให้ผู้บริโภคได้ประโยชน์จากสารสกัดกัญชงกัญชาจริงๆ ดังนั้นมันจะเป็นเบเนฟิตที่ตอบโจทย์ผู้บริโภคพอสมควร”
นอกจากนี้เซ็ปเป้ยังมีแผนจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ CBD หรือผลิตภัณฑ์ที่เป็นสารสกัดจากการชง กัญชาจาก บริษัท จี.เค.เฮมพ์ กรุ๊ป ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของบมจ. กันกุลเอ็นจิเนียริ่ง ให้แก่ผู้ผลิตสินค้า ซึ่งเป็นหน่วยธุรกิจใหม่ ที่จะทำหน้าที่เป็น Industrial Supply หรือขายวัตถุดิบเข้าโรงงานอุตสาหกรรม ร้านอาหาร และผู้ผลิตสินค้า ซึ่งบริษัทมีฐานลูกค้าพอสมควรแล้ว โดยจะนำร่องด้วยสินค้าออลโคโค่ หลังจากนี้กัญชงก็จะเข้ามาเป็นหนึ่งผลิตภัณฑ์ที่เข้ามาเสริมพอร์ต ในเบื้องต้นจะโฟกัสตลาดหลักในประเทศก่อนขยายไปต่างประเทศต่อไป
“การขยายไปยังตลาดต่างประเทศจะเป็นเฟสต่อไป เพราะยังมีข้อจำกัดในเรื่องของกฎหมายต่างๆอาจจะต้องศึกษาเพิ่มเติมให้ลึกซึ้งมากขึ้น เพราะแต่ละประเทศกฎหมายค่อนข้างแตกต่างกันออกไป โดยตลาดที่ใหญ่ที่สุดยังคงเป็นสหรัฐอเมริกา แต่ยังมีอีกหลายประเทศที่เปิดรับมีจำนวนมากเช่นเดียวกัน”
ทั้งนี้ เซ็ปเป้ ตั้งเป้าหมายที่จะเติบโต 15-20% ซึ่งรวมรายได้จากพอร์ตธุรกิจกัญชงด้วย และในอีก 2-3 ปีข้างหน้าบริษัทคาดว่าตลาดของกัญชงน่าจะมีศักยภาพมากขึ้นเพราะปีนี้เป็นปีแรกคนอาจจะยังค่อนข้างสับสนในเรื่องของคุณประโยชน์ของสารสกัด แต่เมื่อเวลาผ่านไปประกอบกับการมีความรู้ที่เพิ่มขึ้นจะทำให้ผู้บริโภคเข้าใจในเรื่องของประโยชน์มากขึ้นเช่นกัน
หน้า 16 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 42 ฉบับที่ 3,801 วันที่ 17 - 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2565