นายพิพัฒน์ พัฒนานุสรณ์ ผู้จัดการทั่วไปโรงแรมดุสิตธานี หัวหิน เปิดเผยกับ "ฐานเศรษฐกิจ"ว่า ในช่วงวิกฤตโควิด-19 กว่า 2 ปีที่ผ่านมาโรงแรมดุสิตธานี หัวหิน ได้ดำเนินการปรับโฉมโรงแรมครั้งใหญ่ ภายใต้งบลงทุนราว 500 ล้านบาท โดยเฟสที่ 1 เป็นการปรับปรุงในส่วนของห้องพักเดอลักซ์ เฟส 2 ห้องสวีท เฟส 3 พื้นที่ส่วนกลาง ได้แก่ การเปลี่ยนลุคสระว่ายน้ำและบริเวณชายหาดให้รองรับไลฟ์สไตล์ของลูกค้าที่หลากหลายขึ้น
รวมถึงการเปิดให้บริการห้องอาหารสุดชิคริมทะเล ‘โนมาดา’ (Nómada) ในสไตล์ Bar and Grill เป็นร้านอาหารอเมริกาใต้ โดยเชฟอเมริกาใต้ แห่งแรกในหัวหินและย่านนี้ที่จะมอบประสบการณ์ใหม่ให้กับนักท่องเที่ยว
อีกทั้งยังยกระดับบริการด้านเวลเนสที่มากกว่าสปา ที่ได้รวมฟิตเนสและสปาให้มาอยู่ในพื้นที่เดียวกัน กลายเป็นศูนย์สุขภาพ มีกิจกรรมต่างๆเพื่อสุขภาพที่นักท่องเที่ยวสามารถใช้บริการได้ฟรี เช่น ไทชิ โยคะ แอโรบิกในน้ำ รวมถึงการเปิดฟาร์มออร์แกนิค ปลูกผัก พร้อมพื้นที่เลี้ยงน้องควายเพื่อเป็นศูนย์เรียนรู้ธรรมชาติ ปลูกข้าว เลี้ยงไก่ไข่ นำวัตถุดิบต่างๆเหล่านี้มาใช้ในโรงแรม
การปรับโฉมในครั้งนี้ล้วนแต่เป็นไฮไลท์ที่ตอบโจทย์ไลฟ์ไตล์ใหม่ของนักท่องเที่ยวทำให้โรงแรมดูทันสมัยขึ้น ดึงคนรุ่นใหม่ แต่ยังคงเอกลักษณ์ความคลาสสิคของโรงแรมที่อยู่คู่กับหัวหินมากว่า 31 ปี ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีอยู่แล้วในกลุ่มลูกค้าดั้งเดิม ทำให้เรามีลูกค้าได้ในทุกเจนเนอเรชั่น ซึ่งการปรับโฉมทั้งหมดนี้ดำเนินการแล้วเสร็จเรียบร้อย พร้อมเปิดให้นักท่องเที่ยวได้รับประสบการณ์ใหม่
ทั้งยังทำให้โรงแรม ดุสิตธานี หัวหิน สามารถแข่งขันกับเชนโรงแรมต่างชาติที่เข้ามาสู่หัวหินมากขึ้น เพราะไม่เพียงโปรดักซ์ที่ใหม่ แต่ยังโฟกัสจุดเด่นการดำเนินงานของดุสิตธานี หัวหิน ใน 4 เสาหลัก ได้แก่
1. เซอร์วิส ที่เน้นให้บริการที่เกินความคาดหวังของลูกค้า
2. เวลเนส (กินดี อยู่ดี)
3. ให้ความสำคัญกับท้องถิ่น อาทิ การนำจุดเด่นอย่างอาหารถิ่น เช่นผัดไทยเพชรบุรี เข้ามาไว้ในเมนู มีการจัดแพ็คเกจนำนักท่องเที่ยวออกไปท่องเที่ยวและร่วมกิจกรรมในชุมชนเมืองเพชร
4.การให้ความสำคัญด้านสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืน เพื่อทำให้นักท่องเที่ยวที่มาพักกับดุสิตธานีจะรู้สึกคุ้มค่ากับเวลา ในการเดินทางพักผ่อน
การปรับโฉมใหม่ของโรงแรมดุสิตธานี หัวหิน ยังทำให้เราสามารถขายห้องพักในราคาที่ปรับเพิ่มขึ้นได้อีกด้วย
สำหรับสถานการณ์ท่องเที่ยวในปีนี้มีแนวโน้มที่ดีขึ้น จากในปี63 มีอัตราการเข้าพักเฉลี่ย อยู่ที่ 50% ปี64 อยู่ที่30% ปีนี้ในช่วงม.ค.ตอนแรกอยู่ที่ 20-30% เดือนเม.ย.สงกรานต์ดีมาก ขยับมาอยู่ที่ 60% เมย.จนถึงมิ.ย.ขยับมาอยู่ที่ราว50-60% ซึ่งถือว่าดีมากสำหรับโรงแรมที่มีขนาดห้องพักกว่า 300 ห้อง และตลอดทั้งปีนี้เฉลี่ยเราก็มองว่าน่าจะอยู่ที่ไม่น้อยกว่า 60% และปีหน้า อยู่ที่ 65-70%
โดยโครงการเราเที่ยวด้วยกันของรัฐบาล มีส่วนช่วยกระตุ้นการท่องเที่ยวได้มาก และล่าสุดที่เพิ่งเปิดให้จองเราเที่ยวด้วยกันเฟส4 ส่วนขยายเพิ่มอีก1.5 ล้านคืน ก็ทำให้เกิดการจองที่พักเพิ่มขึ้น
ทั้งนี้ในช่วง5-6เดือนที่ผ่านมาต้องยอมรับว่าการเดินทางเที่ยวในประเทศของคนไทยมีส่วนสำคัญในการช่วยประคับประคองธุรกิจโรงแรม และในขณะนี้ก็ยังเป็นเช่นนั้นอยู่ เพราะแม้ไทยจะเปิดประเทศ แต่ก็ยังมีน้อยอยู่ ไม่น่าจะถึง20%
เนื่องจากหัวหินไม่มีเที่ยวบินตรงเข้ามาจากต่างประเทศ ซึ่งที่ผ่านมาก็มีเอเย่นต์พยายามจะผลักดันให้มีเที่ยวบินจากฮ่องกง,อินเดีย,สิงคโปร์เข้ามายังสนามบินบ่อฝ้าย หัวหิน แต่ก็ยังไม่มีเข้ามา ขณะที่เที่ยวบินมาเลเซีย-หัวหิน ที่เคยบินอยู่เดิมตอนนี้ก็ยังไม่กลับมา ซึ่งผมมองว่าตลาดนักท่องเที่ยวน่าจะมีการเดินทางเพิ่มขึ้นในเดือนต.ค.นี้ โดยเฉพาะยุโรป อินเดีย ส่วนจีนเราก็ยังรอความชัดเจนว่าจะเดินทางออกมาได้หรือไม่
ทั้งนี้ตลาดนักท่องเที่ยวต่างชาติจะมีความสำคัญในการเข้ามาเติมเต็มวันในช่วงวันธรรมดา เพราะคนไทยส่วนใหญ่จะเข้าพักช่วงศุกร์-เสาร์ โดยวันเสาร์จะมีอัตราเข้าพักเฉลี่ยราว 80%
ดังนั้นกลยุทธในการทำตลาดของโรงแรม เพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยวในวันธรรมดา จะเน้นการเจาะกลุ่มธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็น เอกชน และกลุ่มเจ้าหน้าที่ภาครัฐ รัฐวิสาหกิจ กลุ่มมหาวิทยาลัยต่างๆ รวมถึงกลุ่มนักท่องเที่ยวทั่วไป ที่จองผ่านเราเที่ยวด้วยกันให้เดินทางมาเข้าพักในวันธรรมดา ซึ่งก็มีโปรโมชั่นออกมาต่อเนื่อง
ขณะเดียวกันขณะนี้ก็มีอุปสรรคเรื่องของราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้น ทางโรงแรมก็ลดอุปสรรคนี้ โดยการจัดโปรโมชั่น Drive, Stay and Save พัก 2 คืนก็จะได้รับบัตรเติมน้ำมันมูลค่า 500 บาทหรือ1,000บาท แล้วแต่ประเภทของห้อง มาเสริมสวัสดิการและการสนับสนุนของภาครัฐอย่างเราเที่ยวด้วยกัน
รวมถึงเราจะมองหาความต้องการของนักท่องเที่ยวเฉพาะกลุ่ม(นิซ มาร์เก็ต) เพื่อนำเสนอความต้องการที่ลูกค้าต้องการจริงๆ กระตุ้นตลาดให้เติบโตต่อเนื่อง ขณะเดียวกันเรายังต้องพร้อมรับมือในการบริหารความเสี่ยงควบคู่ไปด้วย เนื่องจากโควิดยังไม่จบนั่นเอง