นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมครม. รับทราบการรายงานสรุปผลการพิจารณาในภาพรวมต่อมาตรการเพื่อป้องกันการทุจริตในการคืนภาษีมูลค่าเพิ่ม เสนอโดยคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) สรุปได้ ดังนี้
1. การเชื่อมโยงข้อมูลและระบบแจ้งเบาะแส
2. กำหนดมาตรการให้ผู้ประกอบการทุกรายต้องจัดทำใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์และรายงานภาษีซื้อ-ภาษีขาย ในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อให้เจ้าหน้าที่สามารถตรวจสอบได้อย่างมีประสิทธิภาพ
3. เพิ่มกลไกการตรวจสอบถ่วงดุลในหน่วยจัดเก็บภาษี โดยให้มีการจัดตั้งคณะกรรมการตรวจสอบการคืนภาษีมูลค่าเพิ่ม ซึ่งมีอธิบดีกรมสรรพากร เป็นประธาน
4. ในกรณีข้อมูลการส่งออกไม่เพียงพอต่อการพิจารณาการคืนภาษีมูลค่าเพิ่ม กรมสรรพากร ส่งเรื่องให้กรมศุลกากรตรวจสอบเพิ่มเติมก่อน จึงจะนำมาใช้อ้างอิง รวมถึงตรวจสอบกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในด้านภาษี หรือการจดทะเบียนเป็นนิติบุคคลของต่างประเทศว่าผู้นำเข้ามีการประกอบการจริงหรือไม่
5. เพิ่มกลไกการตรวจสอบเพิ่มเติมจากมาตรฐานที่มีอยู่ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการตรวจสอบผู้ส่งออกที่มีโอกาสเสี่ยงต่อการทุจริตในการขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่ม
6. กำหนดหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการตรวจสอบเกี่ยวกับผู้รับผลประโยชน์ที่แท้จริง เพื่อให้สามารถป้องกันและทราบถึงกรณีตัวแทนการจดทะเบียนบังหน้า
ทั้งนี้ ประเด็นการเชื่อมโยงข้อมูลและระบบแจ้งเบาะแสนั้น กรมสรรพากร และกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ร่วมกันจัดทำบันทึกข้อตกลงว่าด้วยความร่วมมือในการบูรณาการขั้นตอนการเริ่มต้นธุรกิจ โดยรวมขั้นตอนยื่นคำขอจดทะเบียนจัดตั้งนิติบุคคลพร้อมการยื่นคำขอต่าง ๆ เพื่อเป็นการปฏิบัติตามประมวลรัษฎากร ได้แก่ การจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มและการลงทะเบียนขอใช้บริการอิเล็กทรอนิกส์ของกรมสรรพากร
โดย กรมพัฒนาธุรกิจการค้า ได้ดำเนินการรับแบบคำขอใช้บริการยื่นแบบแสดงรายการและชำระภาษีผ่านระบบเครือข่ายอิเล็กทรอนิกส์ไปพร้อมกับการจดทะเบียนจัดตั้งนิติบุคคล ตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2564 ด้วย
นอกจากนี้ กรมสรรพากร ยังมีช่องทางในการแจ้งเรื่องการบริการแจ้งเบาะแสเรื่องการทุจริตและข้อเสนอแนะ ผ่านเว็บไซต์ของกรมสรรพากร พร้อมออกระเบียบว่าด้วยการจัดทำส่งมอบและเก็บรักษาใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ หรือใบรับอิเล็กทรอนิกส์รวมทั้งพัฒนาระบบให้บริการจัดทำและนำส่ง e-Tax Invoice & e-Receipt
ปัจจุบัน กรมสรรพากรให้ผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มจัดทำใบกำกับภาษีหรือใบรับอิเล็กทรอนิกส์ โดยความสมัครใจ เนื่องจากผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มแต่ละรายมีขนาดธุรกิจแตกต่างกัน
นอกจากนี้ กรมสรรพากรยังมีหน่วยงานพิจารณาคืนภาษีทั่วประเทศ สำหรับการจัดตั้งคณะกรรมการตรวจสอบการคืนภาษีมูลค่าเพิ่มตามข้อเสนอแนะของกับคณะกรรมการ ป.ป.ช. จะต้องมีการแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้องก่อน เนื่องจากยังมีข้อกำหนดห้ามไม่ให้มีการเปิดเผยข้อมูลของผู้เสียภาษีให้แก่บุคคลอื่นเว้นแต่จะมีอำนาจตามกฎหมาย
กรมสรรพากร ยังมีระเบียบและแนวปฏิบัติเกี่ยวกับการตรวจคืนภาษีมูลค่าเพิ่มให้เจ้าหน้าที่ปฏิบัติอยู่แล้ว เช่น กรณีมีข้อสงสัยหรือมีความผิดปกติในการส่งออกและจะมีการประสานแจ้งกรมศุลกากรให้ตรวจสอบข้อเท็จจริงเพิ่มเติมในแต่ละราย กรณีมีเหตุสงสัยนิติบุคคลต่างประเทศมีการประกอบการจริงหรือไม่หรือเป็นผู้ซื้อขายจริงหรือไม่
สามารถประสานไปยังกองวิชาการแผนกภาษีกรมสรรพากรเพื่อขอข้อมูลเฉพาะลายที่ต้องสงสัยไปยังสรรพากรในต่างประเทศได้ รวมทั้งประสานขอข้อมูลใบขนส่งสินค้าขาเข้าและใบขนสินค้าขาออกจากกรมศุลกากรตามที่ได้ทำความตกลงตามบันทึกข้อตกลงระหว่างกรมสรรพากรและคนศุลกากร เพื่อใช้เป็นข้อมูลอ้างอิงได้
อย่างไรก็ตามในปี 2563 รัฐบาลมีรายได้จากการจัดเก็บภาษีจำนวน 2.86 ล้านล้านบาท โดยเป็นภาษีมูลค่าเพิ่มจำนวน 7.45 แสนล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 26.04 ของภาษีที่รัฐบาลจัดเก็บได้ซึ่งเป็นภาษีที่รัฐบาลจัดเก็บได้จำนวนมากที่สุด
ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรี ยังให้ทุกหน่วยงานช่วยกันชี้แจงทำความเข้าใจกับประชาชนถึงข้อเท็จจริงว่า การจัดเก็บภาษีเป็นเครื่องมือทางการคลังของรัฐบาลในการหารายได้ เพื่อใช้จ่ายในการพัฒนาประเทศ โดยเฉพาะโครงสร้างพื้นฐานและการสนับสนุนการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจและใช้ในการรักษาเสถียรภาพของทางเศรษฐกิจ เช่น การกระตุ้นการจ้างงานในช่วงที่เศรษฐกิจตกต่ำ และการป้องกันภาวะเงินเฟ้อด้วยมาตรการทางภาษี
รวมทั้งมาตรการเพื่อป้องกันการทุจริตในการคืนภาษีมูลค่าเพิ่ม ยังเป็นส่วนหนึ่งในการเอาจริง เอาจังของรัฐบาลในการต่อต้านทุจริตคอร์รัปชันด้วย