ชำแหละ “ขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ” กับ 6 ผลกระทบจากนโยบายประชานิยม

07 ธ.ค. 2565 | 01:31 น.
อัปเดตล่าสุด :07 มี.ค. 2566 | 08:23 น.

“ธนิต โสรัตน์” ชำแหละ “ขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ” นโยบายหาเสียงเลือกตั้ง ประชานิยมค่าจ้าง 600 บาทต่อวัน ส่งผลกระทบอย่างน้อย 6 เรื่อง ทั้งนายจ้าง ลูกจ้าง ระบบเศรษฐกิจ

นายธนิต โสรัตน์ รองประธานสภาองค์การนายจ้างผู้ประกอบการค้าและอุตสาหกรรมไทย เปิดเผยบทความพิเศษเรื่อง นโยบายหาเสียงเลือกตั้ง...ประชานิยมค่าจ้าง 600 บาทต่อวัน  หลังจากพรรคเพื่อไทยประกาศนโยบายปรับ “ขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ” และเพิ่มเงินเดือนผู้จบปริญญาตรี ภายในปี 2570 โดยระบุว่า

 

นโยบายค่าจ้างขั้นต่ำถูกพรรคการเมืองนำมาเป็นนโยบายประชานิยมหาเสียงก่อนเลือกตั้งซึ่งคาดว่า อาจอยู่ในช่วงเดือนมีนาคม-เมษายน ปี พ.ศ.2566 จากการแสดงวิสัยทัศน์ของประธานคณะที่ปรึกษาการมีส่วนร่วมและนวัตกรรมของพรรคเพื่อไทย เมื่อวันที่ 6 ธันวาคมที่ผ่านมาที่ประกาศนโยบายเศรษฐกิจหากเข้ามาบริหารประเทศต้องการผลักดันการขยายตัวทางเศรษฐกิจอย่างต่ำเฉลี่ย 5% ต่อปี 

 

การผลักดันส่วนหนึ่งมาจากการเพิ่มรายได้ให้กับผู้ใช้แรงงานด้วยการปรับค่าจ้างขั้นต่ำเป็นวันละ 600 บาทและเงินเดือนของ ผู้จบการศึกษาระดับปริญญาตรีขั้นต่ำอยู่ที่ 25,000 บาท/เดือน ภายในปี พ.ศ.2570 โดยนำไปผูกกับว่าค่าแรงที่สูงจะทำให้มีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์มีเกียรติซึ่งประเด็นนี้ยังกังขาว่าเกี่ยวข้องกันหรือไม่ 

 

ภาพประกอบข่าว “ธนิต โสรัตน์” ชำแหละ “ขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ” นโยบายหาเสียงเลือกตั้ง

ก่อนหน้านี้ปี พ.ศ.2555-2556 พรรคเพื่อไทยสมัยนายกยิ่งลักษณ์ ชินวัตรได้ผลักดันค่าจ้างขั้นต่ำ 300 บาททั่วประเทศเป็นการปรับแบบก้าวกระโดดเฉลี่ยเพิ่มขึ้นวันละ 141 บาทหรือเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 70-88% เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ขีดความสามารถในการแข่งขันด้านการลงทุนและการส่งออกชะลอตัว

 

ปัจจุบันอัตราค่าจ้างขั้นต่ำซึ่งประกาศใช้ 1 ตุลาคม พ.ศ.2565 มี 9 อัตราแต่ละจังหวัดไม่เท่ากันสูงสุดวันละ 354 บาท (มี 3 จังหวัด) ต่ำสุดวันละ 328 บาท (มี 5 จังหวัด) กทม.และปริมณฑลอัตราค่าจ้าง 353 บาท อัตราค่าจ้างขั้นต่ำที่พรรคเพื่อไทยชูเป็นประเด็นหาเสียงคือวันละ 600 บาทภายในปีพ.ศ. 2570 

 

หากใช้อัตราค่าจ้างของกทม.และปริมณฑลเป็นฐานจะทำให้ค่าจ้างที่ต้องปรับขึ้นภายในห้าปีข้างหน้าวันละ 247-250 บาทหรือเฉลี่ยขึ้นปีละ 50 บาท ซึ่งค่าจ้างที่กล่าวก็ไม่ได้ระบุว่าเท่ากันทั้งประเทศหรือไม่ 

 

หากใช้เหมือนเมื่ออดีตคือเท่ากันทุกจังหวัดจังหวัดที่กระทบมากสุดคือกลุ่มจังหวัดที่อยู่ห่างไกลจากศูนย์เศรษฐกิจ เช่น ยะลา,ปัตตานี, นราธิวาส, น่านและอุดรธานีซึ่งได้รับค่าจ้างวันละ 328 บาทจะต้องปรับค่าจ้างในอัตราที่สูง

 

ภาพประกอบข่าว ขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ

นโยบายหาเสียงโดยใช้ค่าจ้างขั้นต่ำแบบประชานิยมไม่ใช่มีแต่พรรคเพื่อไทย ช่วงเลือกตั้งปี พ.ศ. 2562 พรรคพลังประชารัฐเคยชูนโยบายปรับค่าจ้าง 425 บาทแต่ไม่ได้นำมาใช้จริงเพราะมีการเปลี่ยนผู้บริหารพรรค 

 

ขณะที่พรรคเพื่อไทยผู้ที่นำเสนอแนวคิดเป็นเพียงวิสัยทัศน์ของประธานคณะที่ปรึกษาการมีส่วนร่วมและนวัตกรรมไม่ใช่หัวหน้าพรรคคงต้องดูว่าทางพรรคจะประกาศเป็นนโยบายหาเสียงอย่างเป็นทางการหรือไม่

 

อย่างไรก็ตามจากนี้ไปคงเห็นหลายพรรคออกนโยบายหรือแนวคิดหาเสียงเชิงประชานิยมปรับค่าจ้างเพื่อ ชิงคะแนนเสียงจากผู้ใช้แรงงานทั้งในระบบและนอกระบบประมาณ 34 ล้านคน จำเป็นที่ภาคเอกชนจะต้องติดตามว่าจะมีการนำมาใช้จริงหรือไม่และต้องปรับตัวให้ทันต่อสถานการณ์

 

สำหรับผลกระทบจากนโยบายประชานิยมหาเสียงค่าจ้างขั้นต่ำ สรุปได้ 6 ข้อดังนี้

 

1. กระทบฐานค่าจ้างและขีดความสามารถในการจ่ายค่าจ้าง

 

ค่าจ้างขั้นต่ำเกี่ยวข้องกับทุกภาคส่วนทั้งภาคการผลิต, การบริการ, ก่อสร้าง, โลจิสติกส์, ท่องเที่ยว, ร้านอาหาร, ที่พักอาศัย, ลูกจ้างในครัวเรือน, แรงงานเกษตรและประมงรวมถึงแรงงานต่างด้าว การปรับค่าจ้างแบบก้าวกระโดดจึงส่งผลกระทบในวงกว้างอย่างที่เคยเกิดในอดีตปี พ.ศ 2555-2556

 

2. ข้อดีที่เห็นได้ชัดเจนคือค่าจ้างแท้จริงของลูกจ้างสูงขึ้น

 

ค่าจ้างแท้จริงคือรายได้ที่หักเงินเฟ้อเพื่อจะทำให้มีการจับจ่ายใช้สอยเพิ่มคุณภาพชีวิตให้กับลูกจ้าง แต่ในอดีตพบว่าค่าจ้างที่ก้าวกระโดดจะตามมาด้วยเงินเฟ้อราคาค่าของที่สูงขึ้นแบบก้าวกระโดดเช่นกันและมีข้อมูลว่าแรงงานส่วนหนึ่งที่อยู่ในสถานประกอบการขนาดเล็กและภาคเกษตร-ประมงถึงแม้ได้รับค่าจ้างตามกฎหมายก็ยังคงเป็นกลุ่มตกหล่นไม่ได้รับค่าจ้างเพิ่ม

 

3. กลุ่มนายจ้างที่ได้รับผลกระทบมาก เช่น

  • นายจ้างในภาคเกษตรและประมงซึ่งผลผลิตราคาต่ำทำให้ผลิตภาพแรงงานต่ำกว่าค่าจ้าง 7-11% 
  • กิจการโรงแรม, ร้านอาหาร ก่อสร้างที่ต้องใช้คนจำนวนมาก
  • อุตสาหกรรมหรือธุรกิจที่ใช้แรงงานเข้มข้น ส่วนใหญ่เป็นอุตสาหกรรมรับจ้างผลิต (OEM) เช่น อุตสาหกรรมสิ่งทอ, เครื่องนุ่งห่ม, รองเท้ากีฬา, เครื่องหนัง, อาหารแปรรูป
  • อุตสาหกรรมที่ไม่สามารถใช้เทคโนโลยีทดแทนแรงงาน

 

4. ภาคการส่งออกอาจได้รับผลกระทบ

 

ทั้งอุตสาหกรรมรับจ้างการผลิต อุตสาหกรรมแปรรูปเกษตรรวมถึง SME ขนาดเล็กจะได้รับผลกระทบมากกว่าขนาดใหญ่ เคยมีการศึกษาผลกระทบค่าจ้างแบบก้าวกระโดดหลังจาก 1 ปีการจ้างงานของบริษัทขนาดเล็กเริ่มลดลงอย่างเห็นได้ชัดและ อาจมีผลทำให้มีผลกระทบสัดส่วน GDP ลดลง 2.5% 

 

5. การปรับค่าจ้างชี้นำ 600 บาทเป็นการทำลายโครงสร้างไตรภาคีในช่วง 30 ปีที่ผ่านมา 

 

ค่าจ้าง ขั้นต่ำในการพิจารณาของไตรภาคีถึงแม้บางครั้งภาคการเมืองจะเข้ามาก็ต้องชี้นำอยู่ในไตรภาคี การประกาศนโยบายเช่นนี้จะทำลายโครงสร้างค่าจ้างที่เกี่ยวข้องกับสภาวะเศรษฐกิจ เงินเฟ้อ ความสามารถของนายจ้างและความเดือดร้อนของลูกจ้าง

 

6. ค่าจ้างของผู้จบปริญญาตรีเป็นทางเลือกของนายจ้าง

 

การชี้นำค่าจ้างแรงงานผู้จบปริญญาตรีจาก 15,000 บาทเป็น 25,000 บาทภายในห้าปีหรือเฉลี่ยเพิ่มขึ้นปีละ 2,000 บาท หากเป็นการรับแรงงานใหม่ที่ไม่ต้องการคุณสมบัติที่ต้องการใช้ทักษะระดับปริญญาเป็นทางเลือกของนายจ้างที่อาจเลือกแรงงานในระดับที่ต่ำกว่าซึ่งค่าจ้างถูกกว่า

 

ภาพประกอบข่าว ขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ

 

สรุปได้ว่า การคิกออฟของประธานคณะที่ปรึกษาการมีส่วนร่วมและนวัตกรรมของพรรคเพื่อไทยเมื่อวันที่ 6 ธันวาคมที่ผ่านมาในการปรับค่าจ้างวันละ 600 บาทและปริญญาตรี 25,000 ภายในระยะเวลาห้าปี อาจไม่ชัดเจนว่าเป็นนโยบายของพรรคหรือขัดต่อกฎหมายกกต.ที่แทรกแซงไตรภาคีคณะกรรมการค่าจ้างหรือไม่ 

 

แต่อาจทำให้หลายพรรคการเมืองนำไปใช้หากเป็นจริงประเทศไทยอาจสูญเสียขีดความสามารถในการแข่งขันด้านการลงทุนและการส่งออก ผลดีจะตกไปอยู่กับประเทศเวียดนามและอินโดนีเซียซึ่งจะส่งสินค้าราคาถูกกลับเข้ามาขายในประเทศ 

 

การว่างงานคงไม่ใช่ประเด็น เพราะไทยอัตราการเกิดต่ำและขาดแคลนแรงงาน แต่หากอุตสาหกรรมย้ายออกไปลงทุนต่างประเทศ หรืออุตสาหกรรมในประเทศได้รับผลกระทบสินค้าราคาถูกจากประเทศเพื่อนบ้าน ผลกระทบมากน้อยคงต้องติดตามต่อไป