สถานการณ์เศรษฐกิจ หลังผ่านช่วงโควิด-19 ยังคงมีหลายปัจจัยหลายอย่างที่น่ากังวล หลังกองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือ IMF ออกมาเตือนว่า เศรษฐกิจโลกในปี 2566 จะเผชิญกับภาวะเศรษฐกิจถดถอย (Recession) รุนแรงกว่าปีก่อน เพราะเศรษฐกิจชาติผู้นำของโลก ทั้งสหรัฐฯ ยุโรป และจีน กำลังชะลอตัวลงพร้อม ๆ กัน และน่าจะส่งผลสะเทือนกับเศรษฐกิจไทย และมีผลต่อ "การจัดเก็บรายได้" ของรัฐไม่น้อย
ล่าสุดในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 10 มกราคม 2566 ได้รับทราบข้อมูลทางด้านเศรษฐกิจที่สำคัญ ตามที่ สำนักงบประมาณ และหน่วยงานทางด้านเศรษฐกิจเสนอ นั่นคือ กรอบวงเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2567 ภายในนั้นกำหนดข้อมูลด้านการประมาณการรายได้ไว้อย่างชัดเจนทั้งในปี 2566-67
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง : จับสัญญาณเศรษฐกิจถดถอย ปี 66 หนัก หลายประเทศผจญ Recession
เปิดประมาณการรายได้ช่วง 2 ปี
การประมาณการรายได้ภาครัฐ ในช่วง 2 ปีนี้ นั่นคือ ปีงบประมาณ 2566-67 กระทรวงการคลัง ได้มีการจัดทำรายละเอียดเสนอให้กับที่ประชุมครม. รับทราบเป็นที่เรียบร้อยแล้ว หลังจากตัวเลขทั้งหมดได้ผ่านการเห็นชอบจากการประชุมร่วม 4 หน่วยงาน นั่นคือ กระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และธนาคารแห่งประเทศไทย แยกออกเป็นรายปี ดังนี้
ปีงบประมาณ 2566 ประมาณการว่ารัฐบาลจะจัดเก็บรายได้รวม 3,002,800 ล้านบาท ประกอบด้วย
ปีงบประมาณ 2567 ประมาณการว่ารัฐบาลจะจัดเก็บรายได้รวม 3,329,400 ล้านบาท ประกอบด้วย
ครม.สั่งสศช.ประเมินผลการใช้จ่ายลงทุนรัฐ
นอกจากการเห็นชอบกรอบวงเงินงบประมาณรายจ่าย และประมาณการรายได้ในปีงบประมาณ 2566-67 แล้ว ครม.ยังขอให้ สศช. ประเมินผลการใช้จ่ายด้านการลงทุนของภาครัฐ รวมถึงการดำเนินมาตรการของภาครัฐในการส่งเสริม สนับสนุน และเอื้อให้เกิดการลงทุนในประเทศในช่วงที่ผ่านมาว่า มีผลการดำเนินงานเป็นอย่างไร สามารถกระตุ้นเศรษฐกิจ หรือเพิ่มรายได้ให้ประเทศอย่างไรบ้าง
พร้อมทั้งให้ทบทวนโครงสร้างบุคลากรภาครัฐให้มีจำนวนที่เหมาะสมตามความจำเป็น เนื่องจากภาระค่าใช้จ่ายด้านบุคลากรเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก โดยให้กำหนดเป้าหมายการลดอัตรากำลังข้าราชการในแต่ละปีที่ชัดเจน รวมถึงการจ้างงานบุคลากรที่มีทักษะเฉพาะ เช่นเดียวกับการจ้างงานระยะสั้น และการใช้เทคโนโลยีเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน และสามารถลดภาระค่าใช้จ่ายด้านบุคลากรในอนาคตได้
นอกจากนี้ยังขอให้เพิ่มประสิทธิภาพการเบิกจ่ายงบประมาณของทุกหน่วยงานโดยเฉพาะรายจ่ายลงทุน โดยสั่งกระทรวงการคลัง พิจารณากระบวนการอุทธรณ์ตาม พ.ร.บ.การจัดซื้อจัดจ้างและบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. 2560 โดยเร็ว เพื่อให้การเบิกจ่ายงบประมาณเป็นไปตามเป้าหมาย