สถานการณ์เศรษฐกิจไทยในปี 2566 แม้จะเริ่มกลับมาฟื้นตัวได้จากวิกฤตไวรัสโควิด-19 แต่ก็ยังมีข้อกังวลหลายเรื่อง โดย สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ประเมินปัจจัยเสี่ยงสำคัญนั่นคือ การชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก และความผันผวนของระบบเศรษฐกิจการเงินโลก ซึ่งน่าจะมีผลกระทบไม่น้อยกับเศรษฐกิจไทยในปีนี้ที่กำลังเข้าสู่โหมด "การเลือกตั้ง"
ที่ผ่านมา คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เปิดไทม์ไลน์ออกมาแล้ว โดยเริ่มนับตั้งแต่วันที่ 23 มี.ค. 2566 ซึ่งอายุสภาผู้แทนราษฎรสิ้นสุดลง ทำให้ ส.ส.ทั้งหมดต้องพ้นจากตำแหน่ง เหลือแต่สมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) ที่ยังนั่งต่อได้อีก 1 ปี ขณะที่นายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรี มีสถานะรักษาการ พร้อมกำหนดให้วันที่ 7 พ.ค. 2566 เป็นวันเลือกตั้งทั่วไป
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง : เศรษฐกิจไทยโตเปราะบาง สศช. หั่นเป้า GDP ปี 66 เหลือ 3.2% หลังปี 65 โต 2.6%
เศรษฐกิจไทยช่วงการเลือกตั้งเป็นอย่างไร
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจไทยในปี 2566 คาดว่า จะขยายตัวในช่วง 2.7 – 3.7% โดยมีค่ากลางอยู่ที่ 3.2% พร้อมทั้งคาดว่าการอุปโภคบริโภคภาคเอกชนจะขยายตัว 3.2% ส่วนการลงทุนภาคเอกชนและการลงทุนภาครัฐขยายตัว 2.1% และ 2.7% ตามลำดับ
ขณะที่มูลค่าการส่งออกสินค้าในรูปดอลลาร์สหรัฐฯ ลดลง 1.6% อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ยอยู่ในช่วง 2.5 – 3.5% และดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุล 1.5% ของ GDP แต่ทั้งหมดจะเป็นไปได้ต้องมีปัจจัยสนับสนุนที่สำคัญ ดังนี้
การเลือกตั้ง 2566 ส่งผลต่อเศรษฐกิจไทยอย่างไร
นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการ สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ระบุกับฐานเศรษฐกิจว่า ในช่วงการเลือกตั้งของไทยที่จะเกิดขึ้นในปีนี้ จะมีผลต่อเรื่องเศรษฐกิจหลัก ๆ คือ ตัวเลขการบริโภคภายในประเทศ โดยทั้งปี สศช. ประเมินการบริโภคยังไปได้ดีอยู่
อย่างไรก็ตามในช่วงของการเลือกตั้งนั้น อยากให้ทุกคนช่วยกันรักษาบรรยากาศทางเศรษฐกิจและการเมืองภายในประเทศ ไม่ให้เกิดความขัดแย้งหรือเกิดความรุนแรงขึ้น เพราะถ้าประเด็นปัญหาเหล่านี้เกิดขึ้นมาแล้ว จะทำให้ภาพออกไปสู่สายตาชาวโลก โดยเฉพาะบรรดานักลงทุนเห็นภาพประเทศไทยว่าน่าลงทุนหรือไม่
“การรักษาบรรยากาศในปี 2566 ถือว่าเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่ง เพราะภาพต่าง ๆ จะส่งต่อไปยังทั่วโลกให้เห็นว่าประเทศไทยเป็นอย่างไร และภาพเหล่านี้ก็ไม่ใช่สำคัญแค่เฉพาะช่วงการเลือกตั้งเท่านั้น แต่ช่วงที่ผ่านการเลือกตั้งไปแล้วก็สำคัญไม่น้อยกว่ากัน โดยสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่งคือต้องรักษาบรรยากาศการลงทุนให้ดีไปอย่างนี้เรื่อย ๆ เพราะตอนนี้นักลงทุนต่างชาติก็สนใจเข้ามาลงทุนในไทยจำนวนมาก”
8 แนวทางบริหารนโยบายเศรษฐกิจปี 2566
สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ได้มีข้อเสนอในเรื่องของการบริหารนโยบายเศรษฐกิจมหภาคในปี 2566 ของประเทศไทย ทุกส่วนที่เกี่ยวข้องควรให้ความสำคัญกับเรื่องต่าง ๆ ทั้ง 8 เรื่อง ดังต่อไปนี้
1. การดูแลแก้ไขปัญหาหนี้สินของลูกหนี้รายย่อย ทั้งหนี้สินในภาคครัวเรือนและภาคธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs)
2. การดูแลการผลิตภาคเกษตรและรายได้เกษตรกร โดยการเตรียมมาตรการรองรับผลผลิตสินค้าเกษตรที่จะออกสู่ตลาด การสร้างความเข้มแข็งให้กับห่วงโซ่การผลิตของภาคการเกษตร การปรับโครงสร้างการผลิต และการขยายผลการทำเกษตรยั่งยืนและเกษตรอินทรีย์
3. การรักษาแรงขับเคลื่อนจากการส่งออกสินค้า ดังนี้
4. การสนับสนุนการฟื้นตัวของการท่องเที่ยวและบริการเกี่ยวเนื่อง ดังนี้
5. การส่งเสริมการลงทุนภาคเอกชน ดังนี้
6. การขับเคลื่อนการใช้จ่ายและการลงทุนภาครัฐควบคู่ไปกับการเพิ่มพื้นที่ทางการคลังเพื่อรองรับความเสี่ยงจากความผันผวนในระยะปานกลางและเพิ่มศักยภาพการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ
7. การติดตาม เฝ้าระวัง และประเมินสถานการณ์ความผันผวนของเศรษฐกิจและการเงินโลก
8. การรักษาบรรยากาศทางเศรษฐกิจและการเมืองภายในประเทศ