มหากาพย์ศึกสายเลือด3 พี่น้องตระกูล” ณรงค์เดช” “กฤษณ์ –ณพ-กรณ์” ทายาทนักธุรกิจชื่อดัง ของ ดร.เกษม และคุณหญิงพรทิพย์ ณรงค์เดช ผู้ก่อตั้งอาณาจักรหมื่นล้าน”เคพีเอ็น” ภายหลัง คุณหญิงพรทิพย์ผู้เป็นมารดาถึงแก่อนิจกรรมลง ได้ทิ้งกองมรดก กงสี มูลค่ามากกว่า10,000 ล้านบาทไว้
ที่ทำให้3พี่น้องถึงจุดแตกหัก กว่า8ปี และเดินหน้าฟ้องร้องต้อสู้คดีกันในชั้นศาล มากกว่า5คดีตามมาโดยมีชนวนมาจากปมซื้อขายหุ้นร้อน“วินด์ เอนเนอร์ยี่”
จากกระแส “ณพ” ขอความช่วยเหลือจากครอบครัวเพื่อนำเงินและทรัพย์สินไปซื้อหุ้นดังกล่าว ทว่า หลังจากนั้นไม่มีการรายงานให้กับครอบครัวณรงค์เดชรับทราบ มากไปกว่านั้น ได้มีหมายศาลมาถึงบ้าน เมื่อ “นพพร ศุภพิพัฒน์” และ 3 บริษัท เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง “ณพ” และพวกอีก 13 คน ซึ่งในจำนวนนี้มีชื่อของ “ดร.เกษม-กฤษณ์-กรณ์” พ่วงเข้าไปด้วย
ซ้ำร้ายปัญหายังพอกพูนมากขึ้นเมื่อการทำนิติกรรมบางประการ โดยเฉพาะ “การปลอมลายเซ็นนายเกษม ณรงค์เดช” ผู้เป็นบิดา เพื่อเป็นตัวแทนคุณหญิงกอแก้ว บุณยะจินดา ในการซื้อขาย โอนหุ้นวินด์ เอนเนอร์ยี่ ฯ และการโอนหุ้นวินด์ เอนเนอร์ยี่ ไปให้ บริษัท โกลเด้น มิวสิค ซึ่งตั้งอยู่ในเขตปกครองพิเศษฮ่องกง
สิ่งที่ออกมาจาก ปากของ ผู้เป็นบิดา “ดร.เกษม”ที่ พูดกับ “กฤษณ์และกรณ์”บุตรชาย ว่า “นี่ไม่ใช่ลายเซ็นพ่อ” และนำมาซึ่งการตัดขาด เป็นคดีฟ้องร้อง “ณพ” บุตรชายคนกลาง รวมถึง พี่ชายและน้องชาย (กฤษณ์และกรณ์)ที่อยู่ฝั่งผู้เป็นบิดา
เมื่อคดีความ อยู่ในบัลลังก์ศาลอาญากรุงเทพใต้ ของวันที่28 กันยายน 2566 ศาลได้มีคำพิพากษาเป็นคดีหมายเลขแดงที่ อ1753/2566ว่า เอกสารจำนวน 5 ฉบับเป็นลายเซ็นปลอม กล่าวคือ
1) สัญญาซื้อขายหุ้นวินด์ ที่นายเกษม ทำกับบริษัท เคพีเอ็น เอนเนอยี (ประเทศไทย) จำกัด2) หนังสือแต่งตั้งตัวแทน ที่นายเกษม รับเป็นตัวแทนของคุณหญิงกอแก้วในการซื้อหุ้นวินด์3) ตราสารการโอนหุ้น ที่นายเกษม โอนหุ้นของบริษัทโกลเด้น มิวสิค ให้แก่คุณหญิงกอแก้ว บุญจินดา
เรื่องนี้ถือเป็นโมฆะ ซึ่งทายาททั้งสอง ทั้งกฤษณ์และกรณ์รู้สึกโล่งอกที่เรื่องวุ่นๆผ่านพ้นไปได้ และได้เร่งโอนหุ้นโกลเด้น มิวสิคกลับคืนสู่ครอบครัว ขณะ ณพ ยืนยันว่า การดำเนินการซื้อขายหุ้นวินด์ เป็นไปอย่างถูกต้องและการต่อสู้คดี ยังไม่ถึงที่สุด
นอกจากนี้ยังมีคดีความอีกมากที่ฟ้องร้องกัน โดยเฉพาะ ศาลแขวงกรุงเทพใต้พิพากษาไปล่าสุดเมื่อวันที่19 มีนาคม2568 ซึ่งอยู่ในชั้นศาลชั้นต้น ในคดีความผิดฐานยักยอกทรัพย์มูลค่า35ล้านบาท ระหว่างนายกฤษณ์และณพ ปมค่าเช่าที่ดินจังหวัดสมุทรปราการ
โดย ณพเป็นโจทก์ยื่นฟ้อง กฤษณ์ พี่ชายและพวกรวม3ราย ศาลพิพากษา จำคุกกฤษณ์ เพียงผู้เดียว 44เดือนไม่รอลงอาญา ในเวลาต่อมากฤษณ์ได้ขอประกันตัวในหลักทรัพย์4แสนบาท และขอต่อสู้ในชั้นศาลอุทธรณ์ต่อไป
ทั้งนี้ ณพ ฝั่งโจทก์ สรุปคำฟ้องว่า คุณหญิงพรทิพย์ (มารดา)ของโจทก์ขณะมีชีวิตอยู่ได้มีการนำที่ดินและสิ่งปลูกสร้างบริเวณตำบลศีรษะจรเข้ใหญ่ กิ่งอำเภอบางเสาธง จังหวัด สมุทรปราการ ออกให้บุคคลภายนอกเช่า รวมถึงได้ให้บริษัท โทลล์ โลจิสติก จำกัด เช่า โดยได้รับค่าเช่า หลังจากที่คุณหญิงพรทิพย์ ถึงแก่อนิจกรรมแล้ว เมื่อวันที่15 ก.พ.59
ต่อมา จำเลยที่1 โจทก์ และนายกรณ์ ณรงค์เดช เข้าเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ร่วมในที่ดินผืนดังกล่าว จำเลยที่ 1 ไม่เคยทำบัญชีทรัพย์มรดกและไม่นำเงินส่วนแบ่งค่าเช่าและค่าเช่าช่วงมอบให้โจทก์ตามสิทธิทั้งในฐานะทายาทและในฐานะเจ้าของกรรมสิทธิ์ร่วมในที่ดินข้างต้น โดยโจทก์ได้มอบหมายให้ทนายความมีหนังสือบอกกล่าวทวงถามให้จำเลยที่ 1 จัดทำบัญชีทรัพย์มรดก และแบ่งปันทรัพย์มรดกให้เสร็จสิ้นแต่จำเลยที่1 เพิกเฉย
ทั้งนี้ จำเลยที่ 1 เจตนาเบียดบังเอาค่าเช่าและค่าเช่าช่วงที่โจทก์มีสิทธิได้รับเป็นของตนและบุคคลอื่นโดยทุจริตโดยโจทก์มิได้ยินยอม ทั้งนี้จำเลยที่2-3 ต่างก็ทราบข้อเท็จจริงดังกล่าวเป็นอย่างดีแต่ก็ยังสมคบกับจำเลยที่ 1 ไม่ส่งมอบเงินตามสิทธิที่โจทก์มีสิทธิได้รับให้แก่โจทก์ จำเลยทั้งสามมีเจตนาทุจริตยักยอกทรัพย์คือเงินค่าเช่า โจทก์รวมเเล้วหลายครั้งเป็นเงินกว่า 35 ล้านบาท เเละขอให้นับโทษต่อจากคดีในศาลนี้ที่เคยพิพากศาลงโทษจำคุกไม่รอลงอาญาไว้ 12 เดือน
อย่างไรก็ตามกรณ์ อธิบายว่าไม่เคยคิดว่าครอบครัวจะมาถึงจุดนี้ที่ผ่านมาเชื่อในคำสอนคุณแม่ คุณพ่อมาโดยตลอด ว่าต้องทำงานด้วยความซื่อสัตย์สุจริต และหากแม่อยู่จะไม่เกิดเรื่องในวันนี้
สำหรับ อาณาจักร เคพีเอ็น มาตั้งงแต่ ปี 2536 โดยครั้งนั้น คุณหญิงพรทิพย์ได้แยกตัวออกจากสยามกลการ ออกมาปลุกปั้นธุรกิจของตนเองร่วมกับสามี คือ ดร.เกษมที่ดำเนินการหน้านี้ ภายใต้ชื่อ "บริษัท เคพีเอ็น กรุ๊ป คอร์ปอเรชั่น จำกัด
มีธุรกิจในเครือหลากหลาย ทั้งกลุ่มอุตสาหกรรมการผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ ไฟฟ้า และพลาสติก การลงทุนต่างๆ กลุ่มดนตรีและการศึกษา รวมทั้งอสังหาริมทรัพย์ แต่ทั้งนี้ที่โด่ดเด่น ของกลุ่มธุรกิจ ของ เคพีเอ็นฯ ที่มุ่งเน้น ไปทางธุรกิจผลิตชิ้นส่วนรถจักรยานยนต์เป็นหลัก และมีลูกๆมีชื่อเป็นผู้ถือหุ้น
ภายหลังจากคุณพรทิพย์ถึงแก่อนิจกรรม เรื่องวุ่นๆจึงเกิดขึ้นและกลายเป็นศึกสายเลือดบนกองมรดกกงสีกว่า10,000ล้านบาท ที่มีกฤษณ์เป็นผู้จัดการมรดกและณพเป็นผู้จัดการมรดกร่วม ที่ปัจจุบันได้รับการยืนยันว่าได้แบ่งกันไปเรียบร้อยแล้ว หลังจากได้ล็อค ไม่ให้ ในส่วนแบ่งของณพ กรณี มีปัญหา เรื่องคดีวินด์เอนด์เนอร์ยี่
ส่วนคดีไม่ทราบแน่ชัดว่า ในที่สุดแล้วจะจบลงอย่างไร แต่ความราวลึกระหว่างศึก3พี่น้องตระกูลณรงค์เดช " ณพ "และฝั่ง "กฤษณ์-กรณ์" ต่างเดินบนเส้นขนาน!!!