นายสินิตย์ เลิศไกร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยผลการหารือกับ ดร.ตัน ซี เหล็ง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการค้าและอุตสาหกรรม ว่า ไทยและสิงคโปร์ต่างเห็นพ้องที่จะกระชับความร่วมมือสองฝ่ายเพื่อร่วมกันฟื้นฟูเศรษฐกิจที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 โดยเฉพาะการส่งเสริมการใช้สิทธิประโยชน์จากข้อตกลงการค้าเสรีเพื่อการส่งออกอย่างสินค้าเกษตรและอาหาร เช่น ผลิตภัณฑ์นม ข้าว และผลไม้ ซึ่งไทยมีศักยภาพในการผลิตและส่งออก อีกทั้งตอบโจทย์การเป็นประเทศผู้นำเข้าอาหารของสิงคโปร์ในการสร้างความมั่นคงทางอาหารของประเทศ และแนวโน้มความนิยมในอาหารเพื่อสุขภาพที่เพิ่มมากขึ้นของชาวสิงคโปร์
โดยปัจจุบันไทยส่งเสริมการส่งออกอาหารนวัตกรรมหรืออาหารแห่งอนาคตตามแนวทาง BCG ของไทย เช่น โปรตีนทางเลือก หรือเนื้อสัตว์ที่ทำจากพืช จึงเชิญชวนให้สิงคโปร์สนับสนุนการนำเข้าสินค้าดังกล่าวจากไทยมากขึ้น และอาจมีความร่วมมือระหว่างกันในการพัฒนาเทคโนโลยีทางด้านเกษตรและอาหารต่อไป
นอกจากนี้ยังได้มีการหารือในประเด็นการพัฒนาขีดความสามารถของผู้ประกอบการ ซึ่งเป็นภารกิจที่กระทรวงพาณิชย์ให้ความสำคัญและเห็นว่าสิงคโปร์มีความก้าวหน้าในเรื่องนี้ ซึ่งหลังจากหารือกับผู้บริหารสมาคมสตาร์ทอัพของสิงคโปร์ (ACE) ทำให้ได้รับทราบแนวทางพัฒนาระบบนิเวศที่สนับสนุนธุรกิจสตาร์ทอัพของสิงคโปร์ โดยเฉพาะการสร้างเครือข่ายและความร่วมมือระหว่างรัฐ บริษัทเอกชน และสถาบันการศึกษา เพื่อพัฒนาขีดความสามารถของผู้ประกอบการที่ไทยสามารถนำมาใช้เป็นแบบอย่างได้โดยจะนำไปต่อยอดการสนับสนุนผู้ประกอบการสตาร์ทอัพที่ไทยยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น
“การเยือนครั้งนี้ ได้มีการหารือความร่วมมือกับผู้ให้บริการแพลตฟอร์มการค้าออนไลน์ Shopee ของสิงคโปร์ ซึ่งได้รับความนิยมสูงในไทย โดยทั้งสองฝ่ายเห็นตรงกันว่าผู้ประกอบการจะเป็นกำลังหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและเห็นว่าทั้งสองฝ่ายอาจส่งเสริมความร่วมมือระหว่างกันทั้งในส่วนของภาครัฐและเอกชน”
ปัจจุบัน สิงคโปร์มีบริษัทสตาร์ทอัพกว่า 4,000 ราย และก้าวสู่การเป็นบริษัทยูนิคอร์น 25 ราย อาทิ แกร้ป และนินจาแวน (บริการโลจีสติกส์) Sea Limited (เกมส์ออนไลน์และแพลตฟอร์มการค้าออนไลน์) โดยนอกจากสตาร์ทอัพด้านการเงินแล้ว ยังมีธุรกิจด้านชีววิทยาศาสตร์ (life sciencs) รวมถึงธุรกิจเทคโนโลยีการเกษตรและอาหารแห่งอนาคตที่สิงคโปร์ผลักดัน ซึ่งสิงคโปร์เห็นว่าเป็นสาขาที่ไทยมีความเชี่ยวชาญและจะสามารถมีความร่วมมือกับไทยต่อไปได้ในอนาคต
“ไทยยังสามารถมีความร่วมมือกับสิงคโปร์เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังโควิดได้ในเรื่องการท่องเที่ยว ที่ปัจจุบันทั้งไทยและสิงคโปร์เปิดประเทศแล้วจึงสนับสนุนให้นักท่องเที่ยวสองฝ่ายเดินทางระหว่างกัน มีการอำนวยความสะดวกทางการค้าและศุลกากรให้มากยิ่งขึ้นเพื่อส่งเสริมการค้าสองฝ่ายให้ขยายตัว รวมถึงเรื่องเศรษฐกิจดิจิทัลและอีคอมเมิร์ซ ซึ่งจะมีความสำคัญมากขึ้นหลังโควิด โดยจะส่งเสริมความร่วมมือระหว่างกันทั้งระหว่างภาครัฐและภาคเอกชนสองฝ่าย เช่นในเรื่องการพัฒนาผู้ประกอบการให้สามารถใช้ช่องทางออนไลน์ในการขยายการค้าและส่งออก”
ปัจจุบัน สิงคโปร์เป็นคู่ค้าอันดับ 4 ของไทยในอาเซียน โดยในปี 2564 ไทยมีการค้ารวมกับสิงคโปร์ มูลค่า 520,220.78 ล้านบาท โดยเป็นการส่งออกไปสิงคโปร์ 286,321.34 ล้านบาท และเป็นการนำเข้าจากสิงคโปร์ 233,899.44 ล้านบาท สำหรับ 8 เดือนแรกของปี 2565 การค้าไทย-สิงคโปร์ ขยายตัวทั้งการนำเข้าและการส่งออก
โดยการค้ารวมมีมูลค่า 436,110.42 ล้านบาท เป็นการส่งออก 241,725.34 ล้านบาท ขยายตัว 34.9% และการนำเข้า 194,385.08 ล้านบาท ขยายตัว 27.9% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน สินค้าสำคัญที่ไทยและสิงคโปร์มีการค้าระหว่างกัน อาทิ น้ำมันสำเร็จรูป แผงวงจรไฟฟ้า เครื่องคอมพิวเตอร์และส่วนประกอบ และไทยมีสินค้าเกษตรสำคัญที่ส่งออกไปสิงคโปร์ อาทิ ไก่แปรรูป เครื่องดื่ม และข้าว