สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนธ.ค. ร่วงลง 3.95 ดอลลาร์ หรือ 4.6% ปิดที่ 81.64 ดอลลาร์/บาร์เรล ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่วันที่ 30 ก.ย. 2565
ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนม.ค. ลดลง 3.08 ดอลลาร์ หรือ 3.3% ปิดที่ 89.78 ดอลลาร์/บาร์เรล
ภาวะการซื้อขายในตลาดน้ำมันยังคงได้รับแรงกดดันจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ที่ย่ำแย่ลงในจีนซึ่งเป็นประเทศนำเข้าน้ำมันดิบรายใหญ่ของโลก โดยคณะกรรมการด้านสุขภาพแห่งชาติของจีน (NHC) แถลงว่า จีนพบผู้ติดเชื้อโควิด-19 รายใหม่จำนวน 23,276 รายในวันพุธที่ 16 พ.ย. เพิ่มขึ้นจากระดับ 20,199 รายในวันอังคารที่ 15 พ.ย.
สาเหตุส่วนใหญ่ที่ทำให้ยอดผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในจีนพุ่งขึ้นนั้น มาจากการติดเชื้อในเมืองเศรษฐกิจที่สำคัญของจีน ซึ่งรวมถึงเมืองกว่างโจว, กรุงปักกิ่ง, เมืองฉงชิ่ง และมณฑลซินเจียง โดยรายงานระบุว่าเทศบาลมณฑลซินเจียงได้ทำการล็อกดาวน์เมืองอุรุมชีเป็นเวลานานเพื่อควบคุมการแพร่ระบาด
ขณะเดียวกันมีรายงานว่า โรงกลั่นน้ำมันในจีนขอลดปริมาณการสั่งซื้อน้ำมันดิบจากซาอุดีอาระเบียในเดือนธ.ค. และยังได้ชะลอการสั่งซื้อนำมันดิบของรัสเซีย
นอกจากนี้ ตลาดน้ำมันยังได้รับผลกระทบจากการแข็งค่าของดอลลาร์ และจากการที่เจ้าหน้าที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) สนับสนุนให้เฟดเร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย โดยนายเจมส์ บูลลาร์ด ประธานเฟดสาขาเซนต์หลุยส์กล่าวว่า อัตราดอกเบี้ยนโยบายในขณะนี้ยังไม่ได้อยู่ในกรอบที่ถือว่ามีการคุมเข้มมากเพียงพอ
"แม้ว่าเฟดได้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยขึ้นสู่กรอบ 3.75% - 4.00% ในปีนี้ แต่ก็ยังต่ำกว่าระดับที่เฟดมองว่ามีการคุมเข้มมากพอที่จะฉุดเงินเฟ้อให้กับสู่เป้าหมายที่ระดับ 2% ซึ่งกรอบอัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับคุมเข้มอย่างมีประสิทธิภาพก็คือ 5% - 7%" นายบูลลาร์ดกล่าว
ทั้งนี้ ดัชนีดอลลาร์ ซึ่งเป็นดัชนีวัดความเคลื่อนไหวของดอลลาร์เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก 6 สกุลในตะกร้าเงิน เพิ่มขึ้น 0.39% แตะที่ 106.6930 เมื่อคืนนี้ โดยการแข็งค่าของดอลลาร์ส่งผลให้สัญญาน้ำมันดิบซึ่งกำหนดราคาเป็นดอลลาร์นั้น มีราคาแพงขึ้นและไม่น่าดึงดูดใจสำหรับนักลงทุนที่ถือครองสกุลเงินอื่น ๆ