“ศ.ดร.นฤมล”ห่วงไทยติดกับดักภาระหนี้หลังหนี้ครัวเรือนพุ่งสูงถึง 90%

29 ธ.ค. 2565 | 06:00 น.
อัปเดตล่าสุด :29 ธ.ค. 2565 | 13:00 น.

“ศ.ดร.นฤมล”ห่วงไทยติดกับดักภาระหนี้หลังหนี้ครัวเรือนพุ่งสูงถึง 90% แนะรัฐควรกำหนดเป้าหมายไม่เกิน 80% ของ GDP

ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงาน โพสต์ Facebook ส่วนตัวสะท้อนมุมมองถึงการรายงานสถานการณ์เศรษฐกิจทุกสำนักบอกตรงกันหมดว่าปี 2566 เศรษฐกิจโลกชะลอตัว ยังเป็นปัจจัยเสี่ยงหลักที่ส่งผลกระทบกับเศรษฐกิจไทย 

 

โดยเฉพาะภาคการส่งออก ที่ได้เห็นผลกระทบบ้างแล้ว เดือนพ.ย.2565 ส่งออกไทยหดตัวไป 6%  โดยทั้งปี 2565 ส่งออกไทยน่าจะขยายตัวแค่ 3.2% น้อยกว่าปี 2564 ที่ 6% ส่วนปีหน้า 2566 คาดว่าส่งออกไทยจะขยายตัวเพียง 2.7% เท่านั้น 

 

ขณะที่การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางในหลายประเทศทั่วโลกเพื่อต่อสู้กับปัญหาเงินเฟ้อ ในช่วงปี 2565 ที่ผ่านมา ทำให้ภาวะการเงินในตลาดโลกยังเปราะบาง แต่ในปี 2566 อัตราเงินเฟ้อน่าจะถึงจุดสูงสุดและความจำเป็นในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยลดลง ปัจจัยเสี่ยงเรื่องเงินเฟ้อในปี 2566 จึงไม่มากเท่าที่เป็นมาในปี 2565 

ประกอบกับสถานะทางการเงินของธนาคารพาณิชย์ยังเข้มแข็ง อีกทั้งรัฐบาลไทยมีหนี้ต่างประเทศในระดับต่ำ และไทยมีเงินสำรองระหว่างประเทศในระดับสูง ตลาดการเงินไทยจึงยังถือได้ว่ามีเสถียรภาพสูงและสามารถรองรับความเสี่ยงได้เป็นอย่างดี

 

อย่างไรก็ตาม ปัจจัยเสี่ยงภายในประเทศที่ยังน่าเป็นห่วงในปี 2566 คือ ความสามารถในการชำระหนี้ของครัวเรือนกลุ่มเปราะบาง และธุรกิจขนาดกลางและย่อม( SMEs) ที่รายได้ยังไม่ฟื้นตัว ทั้งที่เป็นหนี้กับสถาบันการเงินและที่เป็นหนี้ non-bank มาตรการปรับโครงสร้างหนี้ และมาตรการเสริมเฉพาะจุดในการช่วยลดค่าครองชีพและเพิ่มรายได้ จึงยังจำเป็นต้องดำเนินการต่อเนื่องในปี 2566

 

ศ.ดร.นฤมลห่วงไทยติดกับดักภาระหนี้
 

อย่างไรก็ดี ปัญหาหนี้ครัวเรือน จำเป็นต้องใช้นโยบายที่แก้ไขอย่างยั่งยืน โดยเมื่อดูสถิติย้อนหลัง จะพบว่าตัวเลขหนี้ครัวเรือนที่สูงขึ้นมากในปัจจุบันเกิดขึ้นในสองช่วงเวลาด้วยกัน คือ
 

  • 1) วิกฤตน้ำท่วมใหญ่ 2554 และนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจหลังจากนั้นทำให้หนี้ครัวเรือนเพิ่มจาก 60% ของ GDP ในปี 2553 เป็น 80% ของ GDP ในปี 2557 
  • ผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้เศรษฐกิจหดตัว นโยบายพักหนี้และส่งเสริมการให้สินเชื่อเพื่อประคองเศรษฐกิจทำให้หนี้ครัวเรือนเพิ่มขึ้นจาก 80% ของ GDP ในปี 2562 เป็น 90% ของ GDP ในปี 2565

 

ศ.ดร.นฤมล กล่าวอีกว่า นโยบายแก้หนี้ครัวเรือน ถ้ายังทำแต่เรื่องพักหนี้ และเติมสินเชื่อ โดยไม่กำหนดเป้าหมายหนี้ครัวเรือนที่ชัดเจน นอกจากจะไม่สามารถแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนได้แล้ว ยังจะทำให้ครัวเรือนติดกับดักภาระหนี้ ทำให้ปัญหาฝังรากลึกลงไปอีก 

 

เป้าหมายหนี้ครัวเรือนควรกำหนดให้ไม่เกิน 80% ของ GDP เพราะระดับหนี้ครัวเรือนที่สูงเกิน 80% ของ GDP แทนที่จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ จะกลับส่งผลลบต่อการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศในระยะยาว การจะออกนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจในปี 2566 ต้องคำนึงถึงผลลบนี้ด้วย