นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยถึงฐานะการเงิน การคลังของไทย ช่วงไตรมาสแรกของปีงบประมาณ 2566 ช่วง ช่วงเดือนตุลาคม ถึงเดือนธันวาคม 2565
กระทรวงการคลังเปิดเผยถึงการจัดเก็บรายได้สุทธิ พบว่ามีตัวเลข 633,139 ล้านบาท สูงกว่าการประมาณการตามเอกสารงบประมาณ 73,586 ล้านบาท หรือ 13.2% และสูงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน 13.3% โดยได้รับแรงหนุนตามการขยายตัวอย่างต่อเนื่องของการบริโภค และการค้าระหว่างประเทศ
และยังมีรายได้พิเศษจากการนำส่งทุนหรือผลกำไรส่วนเกินของทุนหมุนเวียน รายได้จากสัมปทานโทรศัพท์เคลื่อนที่ และใบอนุญาตคลื่นวิทยุ รวมทั้งอากรขาเข้าย้อนหลังตามคำพิพากษาคดี
โฆษกรัฐบาลคาดว่า รายได้รัฐบาลในช่วงที่เหลือขอปีงบประมาณ 2566 จะขยายตัวได้ดีตามภาวะเศรษฐกิจ อย่างไรก็ดี การจัดเก็บรายได้ของกรมสรรพสามิตต่ำกว่าประมาณการ จากการปรับลดอัตราภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซลเพื่อบรรเทาผลกระทบต่อค่าครองชีพของประชาชนเป็นการชั่วคราวจากราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก ที่ทรงตัวอยู่ในระดับสูง
ทั้งนี้ หากไม่รวมรายได้พิเศษของส่วนราชการอื่นและกรมศุลกากร ผลการจัดเก็บรายได้รัฐบาลสุทธิสูงกว่าประมาณการ 40,175 ล้านบาท หรือ 7.2% และสูงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน 7.3%
กระทรวงการคลังคาดการณ์ว่ารัฐบาลจะมีรายได้นำส่งคลัง 2.6 ล้านล้านบาท ขณะที่การเบิกจ่ายงบประมาณทั้งสิ้น 3.1 ล้านล้านบาท และมีการกู้เพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณจำนวน 6.95 แสนล้านบาท ส่งผลให้เงินคงคลัง เมื่อสิ้นปีงบประมาณ 2566 มีจำนวนทั้งสิ้นกว่า 7.1 แสนล้านบาท เป็นระดับที่เพียงพอต่อการใช้จ่ายที่จำเป็นของภาครัฐ ภาพรวมฐานะการคลังในปีงบประมาณ 2566 มีความมั่นคงและเข้มแข็ง
เศรษฐกิจไทยยังมีสัญญาณเป็นไปในทิศทางทางบวก โดยสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เตรียมทบทวนประมาณการณ์เศรษฐกิจไทยทั้งปี อาจจะขยายตัวได้ถึง 3.5% - 4% ตามแรงสนับสนุนจากอุปสงค์ภายในประเทศและการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวอีกด้วย