ได้เห็นตัวเลขส่งออกปี2565กันไปแล้วถือว่าเป็นการปิดตัวเลขที่สวยงามเพราะขยายตัวเกินเป้าที่กระทรวงพาณิชย์ตั้งไว4% โดยภาพรวมส่งออกทั้งปี (ม.ค.-ธ.ค.) มีมูลค่า 287,067.9 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 5.5% คิดเป็นเงินบาทมูลค่า 9,944,317 ล้านบาท หรือเกือบ 10 ล้านล้านบาท ซึ่งถือว่าการส่งออกยังทำได้ดี
ส่วนปี2566 กระทรวงพาณิชย์ร่วมหารือกับภาคเอกชนได้กำหนดเป้าส่งออกไทยไว้ที่1-2% ท่ามกลางปัจจัยที่ยังรอบด้านทั้งเศรษฐกิจโลก สงครามการค้า สงครามรัสเซีย-ยูเครน ราคาพลังงาน และเงินเฟ้อที่เกิดขึ้นทั่วโลก ดังนั้นตัวเลขส่งออกของปีนี้ที่ตั้งต้ำไว้ก็สมเหตุสมผลและทั้งภาครัฐและเอกชนเองก็มั่นใจว่าจะช่วยกันฝ่าฟันอุปสรรคนี้ไปได้
อย่างไรก็ตามเพื่อให้การส่งออกไทยปีนี้ไปถึงฝั่งฝัน นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งจัดทำแผนส่งเสริมการส่งออก โดยสินค้าเป้าหมายของปีนี้ คือ กลุ่มเกษตรและอาหาร กลุ่มอุตสาหกรรม กลุ่มไลฟ์สไตล์และแฟชั่น ธุรกิจบริการ BGC และสินค้าHalal โดยยังคงเน้นรุกทั้งตลาดหลักและตลาดรอง ไม่ว่าจะเป็น สหรัฐ ยุโรป จีน ฮ่องกง ญี่ปุ่น อาเซียน ตะวันออกกลาง เอเชียใต้ แอฟริกา ลาติน อเมริกา
โดยจะแบ่งเป็นแผนปกติ 190แผนงานหรือมีกิจกกรมกว่า450กิจกรรม ทั้งในตลาดหลักอย่าง สหรัฐ ยุโรป จีน ญี่ปุ่น อาเซียน ส่วนตลาดรองเช่น ตะวันออกกลาง เอเชียใต้ แอฟริกา ซึ่งจะเป็นการเร่งรัดแบบยุคNormal คือการรักษาและขยายตลาดเดิมเปิดตลาดใหม่รวมถึงฟื้นฟูตลาดเก่า มีการผลักดันการใช้Soft Power ในอุตสาหกรรมดิจิทัลคอนเท้นต์ สุขภาพและความงาม อาหารและร้านอาหารไทย และสินค้าที่เป็นอัตลักษณ์อย่างสินค้าGI เป็นต้น ซึ่งสินค้ากลุ่มป้าหมายยังคงเป็นกลุ่มเกษตรและอาการ ธุรกิจบริการ อุตสาหกรรม BCG ไลฟ์สไตล์และแฟชั่น และสินค้าฮาลาล
นอกจากนี้กระทรวงพาณิชย์ยังได้ปรับแผนการทำงานร่วมกับภาคเอกชนเพื่อให้การทำงานมีความชัดเจนและตรงจุดที่เอกชนต้องการมากที่สุด เรียกว่าWar Room3ตลาด ใน90กิจกรรม เป้าหมาย2ล้านล้านบาท คือตะวันออกกลาง เช่น ซาอุดีอาระเบีย ยูเออี โอมาน ทั้งนี้มีการคาดการณ์เศรษฐกิจของกลุ่มประเทศตะวันออกกลางจะขยายตัวที่4% ซึ่งหระทรวงฯได้ตั้งเป้าส่งออกยังตลาดตะวันออกลาง20% หรือ420,000ล้านบาท ตลาดเอเชียใต้ เช่น อินเดีย บังกลาเทศ เนปาล ตั้งแส่งออกไว้ที่10% หรือมีมูลค่า5แสนล้านบาท และตลาดอาเซียนในกลุ่มCLMV โดยตั้งเป้าโตที่15% หรือ1.2ล้านล้านบาท ซึ่งสินค้ากลุ่มเป้าหมายของ3ตลาดนี้คือ อาหารและเครื่องดื่ม อุตสาหกรรมหนัก เช่นรถยนต์ และชิ้นส่วนประกอบ กลุ่มไลฟ์สไตล์และแฟชั่น และธุรกิจบริการ
นอกจากนี้ ยังมีแผนจะรุกตลาดจีนเพิ่มขึ้นหลังจากที่จีนมีการเปิดประเทศมากขึ้นในปีนี้ซึ่งคาดการ์ว่าจีดีพีจีนน่าจะขยายตัวที่4.3% โดยจะอัด34กิจกรรม โยตั้งเป้าส่งออกไปตลาดที่1%หรือ1.2ล้านล้านบาท ในกลุ่มสินค้าเป้าหมายอย่าง อาหาร ผลไม้ ข้าว ฮาลาล สุขภาพและความงาม สินค้าอุปโภคบริโภค สินค้าไลฟ์สไตล์ และดิจิทัลคอนเทนต์
ทั้งนี้ กระทรวงพาณิชย์ได้หารือร่วมกับภาคเอกชน และมีความเห็นสอดคล้องกันในการกำหนดเป้าหมายการส่งออกปี 2566 ว่าจะขยายตัว 1-2%หรือมีมูลค่า289,938-292,809ล้านดอลลาร์สหรัฐ ภายใต้สมมุติฐานราคาน้ำมันที่80-90ดอลลาร์สหรัฐต่อบาเรล และค่าเงินบาทอยู่ที่34-35บาทต่อดอลลาร์สรัฐ สาเหตุที่ตั้งเป้าต่ำกว่าปีก่อนเพราะมีปัจจัยที่เป็นแรงเสียดทานทางลบหลายปัจจัย ทั้งเศรษฐกิจโลกชะลอตัว โดยคากดว่าในไตรมาสแรกของปีนี้การส่งออกยังคงติดลบที่3.7%หรือมีมูลค่า7หมื่นล้านดอลลารสหรัฐและไตรมาส2 ติดลบ0.7%หรือมีมูลค่า7.5หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ส่วนไตรมาส3-4จะกลับมาเป็นบวกแต่จะบวกเท่าไหร่นั้นขึ้นอยู่กับสถานการณ์เศรษฐกิจโลกมในขณะนั้นด้วย