อุณหภูมิทางการเมืองร้อนระอุขึ้นทันทีเมื่อพรรคเพื่อไทย ถือฤกษ์ดี วันที่ 1 มีนาคม 2566 เปิดตัว นายเศรษฐา ทวีสิน ประธานอำนวยการและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) บริษัทอสังหาริมทรัพย์ยักษ์ใหญ่แถวหน้าของเมืองไทย นั่งเป็นประธานที่ปรึกษาหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทยอย่างเป็นทางการ พร้อมเดินหน้าสู้ศึกเลือกตั้งตั้งแลนด์สไลด์ทั่วแผ่นดิน
โดยใช้จุดเด่น ของนายเศรษฐา ฐานะนักธุรกิจเจ้ากลยุทธ์ ช่วยเพิ่มฐานคะแนนในกลุ่มนักธุรกิจและคนรุ่นใหม่ ช่วยนำพรรคเพื่อไทย เดินไปสู่เป้าหมายคือการจัดตั้งรัฐบาล ควบคู่ไปกับการสร้างความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ที่ยังกำกับดูแล ไปพร้อมกับการให้โอกาสสังคม ส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม พันธกิจสีเขียว ให้ก้าวไปข้างหน้า หลังประกาศผลประกอบการปี 2565 เติบโตแบบก้าวกระโดดสูงที่สุดในประวัติศาสตร์นับตั้งแต่ ก่อตั้งมาเมื่อปี 2527
สวนทางการปรับลดตัวเลข ของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือ สภาพัฒน์ ประกาศ ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ หรือ จีดีพี ปี 2565 ขยายตัวต่ำกว่าที่เคยคาดการณ์ไว้ก่อนหน้า ว่าจะขยายตัวถึง 3.2% ต่อปี โดยมีปัจจัยท้าทายมาจาก ส่งออกปรับตัวลดลง
ผลพวงมาจากสงคราม เงินเฟ้อ ต้นทุนพลังงานปรับตัวสูง เศรษฐกิจโลกถดถอย ขณะแนวทางแก้ปัญหา มองว่าต้องเร่งแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือน การเพิ่มรายได้เกษตรกร สนับสนุนช่องทางการส่งออก กระตุ้นท่องเที่ยว การลงทุนทั้งภาครัฐและเอกชน เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้ก้าวไปข้างหน้า อย่างมั่นคงยั่งยืน
ต่อเรื่องนี้ นายเศรษฐา เปิดเผย “ฐานเศรษฐกิจ” ถึงแนวโน้มเศรษฐกิจในปีนี้ ว่า เศรษฐกิจในประเทศน่าจะเปราะบาง สะท้อนจากการประกาศตัวเลขจีดีพีของสภาพัฒน์ปีที่ผ่านมา ขยายตัวเพียง 2.6% ต่ำกว่าที่เคยคาดการณ์ไว้ก่อนหน้า แต่ยังมีโอกาสที่ดี จากการเลือกตั้ง วันที่ 7 พฤษภาคมนี้
ที่ทุกพรรคทั้งฝ่ายค้านและฝ่ายรัฐบาลให้ความสำคัญกับการแก้เศรษฐกิจปากท้องให้กับประชาชน การสร้างงานสร้างอาชีพ ภาคสังคม พันธกิจสีเขียว ที่มองว่า จะเป็นตัวแปรสำคัญในการเดินหน้าขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศ
ขณะเดียวกัน มองว่า ภาคท่องเที่ยวกำลังฟื้นตัวเป็นฟันเฟืองกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะสั้น มีนักท่องเที่ยวต่างชาติกลับมา แม้ยังไม่มากเมื่อเทียบกับช่วงก่อนเกิดสถานการณ์โควิด แต่เชื่อว่า จะเป็นผลดี ทำให้ประชาชนในพื้นที่มีรายได้ เกิดการจับจ่าย สะท้อนจากภาคบริการ โรงแรม ร้านอาหาร ธุรกิจเกี่ยวเนื่อง
ทั้งในเขตกรุงเทพมหานครและภูมิภาคหัวเมืองท่องเที่ยวสำคัญ เต็มไปด้วยนักท่องเที่ยวทั้งไทยและต่างชาติ และเมื่อภาคท่องเที่ยวดี ภาคอสังหาฯ จะได้อานิสงส์ การซื้อที่อยู่อาศัยที่เกิดจากต่างชาติจะดีตามไปด้วย โดยบริษัทตั้งเป้ายอดขายโครงการคอนโดมิเนียมจากต่างชาติ 12,000 ล้านบาท ส่วนระยะยาว คือการเปิดให้ถือวีซ่าระยะยาวเหมือนกับประเทศอื่นๆ จะช่วยดึงดูดการมาของต่างชาติเข้ามาพำนักในไทยได้
ส่วนทิศทางอสังหาฯ ปีนี้ นายเศรษฐามองว่า เติบโตล้อไปตามจีดีพี ที่ปีนี้สภาพัฒน์ประเมินว่าจะเติบโตที่ 3.2% กำลังซื้อในประเทศยังเปราะบาง มีการปฏิเสธสินเชื่อของสถาบันการเงินค่อนข้างมากขณะการพัฒนาโครงการให้ตรงกลุ่มเป้าหมายจะทำให้ประสบความสำเร็จ ส่วนการเติบโตที่ยั่งยืนแสนสิริ รักษาคนเก่ง และพัฒนาบุคลากรอย่างต่อเนื่อง
เมื่อมีผลกำไรที่ดีตอบแทนพนักงานในรูปของโบนัสซึ่งปีนี้ จ่ายโบนัสพนักงาน 5 เดือน เนื่องจากบริษัท ปีที่ผ่านมาทำกำไรสูงสุดในประวัติการณ์ 112% ที่ 4,280 ล้านบาท ด้วยยอดขายรวมถึง 50,000 ล้านบาท โตขึ้นเกือบ 50% จากปีที่ผ่านมา และยอดโอน 36,800 ล้านบาทเพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมา
นับตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทและสูงที่สุดในอุตสาหกรรมอสังหาฯ หลังจากเกิดวิกฤตโควิดและเศรษฐกิจซบเซามีตัวแปรมาจากความเชื่อถือในตัวแบรนด์และความนิยมบ้านแนวราบนับตั้งแต่เกิดสถานการณ์โควิด ที่มองว่ายอดการซื้อของผู้บริโภคไม่ลดน้อยลง
นายเศรษฐา สะท้อนต่อว่า โดยปีนี้ แสนสิริยังคง เดินหน้าพัฒนาธุรกิจและเดินหน้าเติบโตต่อไปอย่างแข็งแกร่ง ควบคู่ไปกับการให้ความสำคัญกับสังคมและการฅดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมอย่างต่อเนื่อง ซึ่งแสนสิริเชื่อว่าเป็นส่วนสำคัญในการสร้างความยั่งยืนในอนาคต โดยวางแผนเปิดตัว 52 โครงการใหม่ มูลค่ารวมกว่า 75,000 ล้านบาท ซึ่งจะนับเป็นการทุบสถิติเปิดตัวโครงการใหม่มูลค่าสูงสุดเป็นประวัติการณ์
แบ่งเป็นโครงการแนวราบ 30 โครงการ และคอนโดมิเนียม 22 โครงการ โดยตั้งเป้าหมายยอดขายในปี 2566 ไว้ที่ 55,000 ล้านบาท เป้าหมายรายได้รวม 40,000 ล้านบาท สูงสุดเป็นประวัติการณ์รวมถึงเป้าหมายกำไรสุทธิ ที่จะทุบสถิติ ALL-Time High พุ่งสูงสุดเป็นประวัติการณ์นับตั้งแต่ก่อตั้งบริษัท
ขณะ ปีที่ผ่านมา มองว่า เป็นปีแรก ที่เริ่มเห็นการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจไทยอย่างชัดเจน หลังจากเกิดการ ระบาดโควิด ปัจจัยสำคัญมาจากการได้รับวัคซีน ทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจกลับมาดำเนินได้อย่างเต็มที่ รวมถึงการเปิดรับนักท่องเที่ยว อย่างไรก็ดีการฟื้นตัวกลับมายังคงไม่เต็มที่
ทำให้มีทั้งโอกาสทางธุรกิจและปัจจัยเสี่ยงที่ต้องเฝ้าติดตามและเตรียมรับมือในอีกหลากหลายประเด็น ไม่ว่าจะเป็นการฟื้นตัวของเศรษฐกิจของประเทศต่างๆ ที่จะมีผลกระทบต่อประเทศไทย แนวโน้มราคาพลังงานและราคาโภคภัณฑ์ที่ปรับตัวสูงขึ้นกดดันให้ต้นทุนและอัตราเงินเฟ้อปรับตัวสูงขึ้น ตลอดจนการปรับขึ้นของอัตราดอกเบี้ยนโยบาย
อย่างไรก็ดี แม้ปีที่ผ่านมาจะเป็นปีที่มีความท้าทายของการดำเนินธุรกิจภายใต้ภาวะเศรษฐกิจที่ยังมีความไม่แน่นอน แต่แสนสิริสามารถเดินหน้าอย่างแข็งแกร่งและยั่งยืนประสบความสำเร็จ ด้วยยอดขายโตขึ้นเกือบ 50% จากปีที่ผ่านมาดังกล่าว