นายจูนจิ โอตะ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัทสยามคูโบต้าคอร์ปอเรชั่น จำกัด เปิดเผยว่าปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่เกิดจากภาวะโลกร้อนในขณะนี้เริ่มส่งผลกระทบรุนแรง ต่อผลผลิตอาหารทั่วโลก และเพื่อเป็นส่วนหนึ่งในความพยายามแก้ไขปัญหา โดยบริษัทสร้างความเชื่อมั่นและไว้วางใจจากลูกค้าในการทำตามตามนโยบาย Global Major Brand (GMB) คูโบต้าคอร์ปอเรชั่น ประเทศญี่ปุ่น เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในภาคการเกษตรสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี 2593
ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาล ดังนั้นการดำเนินธุรกิจก้าวสู่ปีที่ 45 เราจะยังคงตั้งมั่นให้การสนับสนุนภาคเกษตรของไทย ในการพัฒนาและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันทัดเทียมกับนานาประเทศในทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นลูกค้า บริษัทคู่ค้าทางธุรกิจ ตลอดจนพนักงาน พร้อมเร่งสนับสนุนภาคเกษตรไทยให้เป็น Net Zero ในทุกมิติ ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ
โดยในปี 2565 ที่ผ่านมาบริษัทมีผลการดำเนินงานตรงตามเป้าหมายที่คาดไว้ ซึ่งผลประกอบการในปี 2565 มียอดขายอยู่ที่ 63,000 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนในประเทศ 60 : ต่างประเทศ 40 ทั้งนี้มีปัจจัยบวกจากภายนอกที่ช่วยส่งเสริมการเติบโตทางภาคเกษตร ได้แก่ ปริมาณน้ำฝนดี ราคาสินค้าเกษตรปรับตัวสูงขึ้น และนโยบายจากภาครัฐที่มุ่งส่งเสริมการทำเกษตรสมัยใหม่เพื่อลดต้นทุนและเพิ่มผลผลิต รวมทั้งการออกสินค้ารุ่นใหม่ที่ตอบโจทย์ความต้องการทั้งทางเทคโนโลยีและเป็นประโยชน์ต่อลูกค้าและสังคม สำหรับในปี 2566 นี้ สยามคูโบต้าได้ตั้งเป้าหมายยอดขายรวมไว้ที่ 67,000 ล้านบาท ซึ่งจะเติบโตเพิ่มขึ้น 7%
ด้านนางวราภรณ์ โอสถาพันธุ์ กรรมการรองผู้จัดการใหญ่อาวุโส เปิดเผยว่า ภาพรวมสถานการณ์ภาคการเกษตรของไทยในรอบปีที่ผ่านมาว่า สภาพอากาศที่เอื้ออำนวยส่งผลให้เกษตรกรขยายพื้นที่เพาะปลูกและทำการผลิตมากขึ้น อีกทั้งราคาผลผลิตอยู่ในเกณฑ์ดี จูงใจให้เกษตรกรสนใจซื้อเครื่องจักรฯ
สำหรับเพาะปลูกและบำรุงดูแลรักษามากขึ้น รวมถึงสถานการณ์ COVID-19 ที่ผ่อนคลาย ส่งผลให้เศรษฐกิจทั่วโลกเริ่มฟื้นตัว นอกจากนี้นโยบายของภาครัฐมีการส่งเสริมยกระดับเกษตรกรไทยสนับสนุน Smart Farming ที่นำเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาบริหารจัดการ จึงทำให้ภาพรวมของตลาดเครื่องจักรกลการเกษตรของไทยเพิ่มขึ้น 11% และGDP ภาคการเกษตรมีการขยายตัว 2.5% ในขณะที่ภาพรวมตลาดเครื่องจักรกลการเกษตรในกัมพูชา และ สปป.ลาว ก็เติบโตเพิ่มขึ้น 8 % อันเป็นผลจากรัฐบาลส่งเสริมการผลิตพืชผลการเกษตรเพื่อส่งออกมากขึ้น
ขณะที่นายพิษณุ มิลินทานุช ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผู้จัดการทั่วไป สายงานขาย การตลาดและบริการ เปิดเผยว่า เทรนด์การเกษตรสมัยใหม่มีการใช้เครื่องจักรกลการเกษตรและเทคโนโลยีเข้ามาช่วยให้การทำเกษตรมีประสิทธิภาพดีและสะดวกมากยิ่งขึ้น ทำให้สยามคูโบต้าเตรียมรุกตลาดภายใต้ 2 กลยุทธ์สำคัญ คือ เน้นขยายตลาดใหม่ คือ กลุ่ม Non Farmer (เกษตรกรมือใหม่)
เจาะกลุ่มผู้ที่กำลังเริ่มต้นสนใจการเกษตรได้ทดลองใช้งานเครื่องจักรฯ กลุ่มพืชมูลค่าสูง (High Value Crop) นำเสนอประสิทธิภาพในรูปแบบทำน้อยแต่ได้มาก รองรับการขยายตัวของกลุ่มพืชที่สูงถึง 16% โดยขยายตลาดแทรกเตอร์ต้นกำลังในการต่ออุปกรณ์เพื่อทำงานได้หลากหลาย กลุ่มเกษตรกรสมัยใหม่ (Smart Farmer) จับเทรนด์ผู้ที่สนใจนำนวัตกรรมมาใช้กับการทำเกษตรของตัวเองมากขึ้น ซึ่งเพิ่มขึ้นกว่า 38%
และ 2.สร้างความยั่งยืนให้กับชุมชนเกษตรกร ส่งเสริมให้เกิดเป็น Smart Farmer ที่เข้าถึงเครื่องจักรกลการเกษตรได้อย่างทั่วถึงทดแทนการใช้แรงงาน ภายใต้โครงการ คูโบต้าร่วมมือ เกษตรร่วมใจร่วมกับวิสาหกิจชุมชนไปแล้ว 168 กลุ่ม และเปิดโอกาสให้สมาชิกกลุ่มวิสาหกิจชุมชนมาแลกเปลี่ยนประสบการณ์ด้านการเกษตร และการบริหารจัดการเครื่องจักรฯ การนำไปรับจ้างเพื่อสร้างรายได้ให้กับชุมชน ผ่านกิจกรรมคูโบต้าเชื่อมเครือข่ายชุมชน ในภาคกลาง ภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และเตรียมขยายผลเพิ่มอีก 5 ชุมชนในปีนี้