นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) เปิดเผยว่า สนค. ได้พัฒนา Global Demand Dashboard ในเว็บไซต์ คิดค้า.com ขึ้น และได้นำระบบดังกล่าวมาติดตามเทรนด์สินค้าไทยในตลาดญี่ปุ่น พบว่า ในปี 2565 ไทยเป็นคู่ค้าอันดับที่ 9 ของญี่ปุ่น มีส่วนแบ่งตลาดที่ 3% ขยายตัวเพิ่มขึ้น 1.2% เทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า และญี่ปุ่นนำเข้าสินค้าจากไทยเป็นมูลค่า 26,659 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่แหล่งนำเข้าอันดับหนึ่งของญี่ปุ่น คือ จีน รองลงมา คือ สหรัฐฯ และออสเตรเลีย
ทั้งนี้ จากการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึก พบว่า ในรายการสินค้าทั้งหมดที่ไทยส่งออกไปยังญี่ปุ่น มีสินค้าบางรายการที่ไทยเป็นผู้นำตลาด โดยสินค้า 3 อันดับแรกที่ไทยเป็นผู้นำในตลาดญี่ปุ่น ได้แก่ กากน้ำตาล มีส่วนแบ่งตลาด 74% เป็ดสดแช่เย็นแช่แข็ง 64% และท่อนและเส้นทำด้วยทองแดง 59%
นอกจากนี้ การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกยังพบสินค้าที่เติบโตดีในตลาดญี่ปุ่น โดยมีส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้น 3 อันดับแรก ได้แก่ เป็ดสดแช่เย็นแช่แข็ง ส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้น 23.7% ซอส เพิ่มขึ้น 11.3% และจุกและฝาเกลียว เพิ่มขึ้น 6.7%
ส่วนสินค้าที่ต้องจับตาคู่แข่งทางการค้า แม้สินค้าไทยยังคงส่งออกขยายตัวได้ก็ตาม ได้แก่ ไก่ ซึ่งญี่ปุ่นนำเข้าจากไทยขยายตัว 11.7%YOY จากมูลค่านำเข้าในปี 2564 ที่ 1,808.40 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เป็น 2,020.44 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2565 แต่พบว่าส่วนแบ่งตลาดลดลง 2.0% และยางพารา ซึ่งญี่ปุ่นนำเข้าจากไทยขยายตัว 7.4%YOY จากมูลค่านำเข้าในปี 2564 ที่ 428.56 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เป็น 460.48 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2565
แต่พบว่าส่วนแบ่งตลาดลดลง 1.1% สำหรับสินค้าที่ต้องปรับตัว เพราะไทยเริ่มสูญเสียส่วนแบ่งการตลาดให้กับคู่แข่ง และญี่ปุ่นมีแนวโน้มนำเข้าสินค้าจากไทยลดลง โดยสินค้าที่ต้องปรับตัว 3 อันดับแรก ได้แก่ รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ ส่วนแบ่งตลาดลดลง 1.8% สินค้าอุตสาหกรรมอื่น ๆ ลดลง 0.3% และเคมีภัณฑ์เบ็ดเตล็ด ลดลง 3.2%
“ตลาดญี่ปุ่น สินค้ากากน้ำตาล มีอนาคตดีมาก ขณะนี้ครองส่วนแบ่งตลาดได้สูงถึง 74% ตามด้วยเป็ดสดแช่เย็นแช่แข็ง 64% และท่อนและเส้นทำด้วยทองแดง 59% โดยเฉพาะเป็ดสดแช่เย็นแช่แข็งที่ถือเป็นดาวรุ่งมาก เพราะไม่เพียงแต่ส่วนแบ่งตลาดเพิ่ม ยังแย่งชิงตลาดมาจากคู่แข่งได้ ส่วนซอส จุกและฝาเกลียว ก็เป็นสินค้าที่กำลังเติบโตดี ขณะที่ไก่ ยางพารา เริ่มถูกคู่แข่งเข้ามาแย่งชิง จึงต้องเร่งปรับตัว ผู้ส่งออกต้องปรับแผนกลยุทธ์การทำตลาด เพื่อให้ไทยยังคงส่งออกไปญี่ปุ่นได้เพิ่มขึ้น และรักษาส่วนแบ่งตลาดได้ต่อไป”