นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ญี่ปุ่นกับไทยมีความสัมพันธ์ทางการค้ามายาวนาน โดยปี 2565 ญี่ปุ่นเป็นคู่ค้าอันดับ 3 ของไทย รองจากจีน และสหรัฐอเมริกา ซึ่งมีการค้ารวม 59,253.17 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ2,069,120.69 ล้านบาท ลดลงจากปีก่อนหน้า 2.30%
แบ่งเป็นการส่งออก มูลค่า 24,669.06 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ855,401.60 ล้านบาท และการนำเข้า มูลค่า 34,584.11 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ1,213,630.30 ล้านบาท โดยไทยขาดดุลการค้า 9,915.05 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ358,228.70 ล้านบาท
สินค้าส่งออกสำคัญของไทยไปญี่ปุ่น เช่น เนื้อสัตว์แปรรูป เช่น ปลาทูน่า ปลาแซลมอน ที่ตัดหรือปรุงแต่งชิ้นส่วนยานยนต์และส่วนประกอบ ยานยนต์ เครื่องพิมพ์และส่วนประกอบ เครื่องโทรศัพท์ วงจรอิเล็กทรอนิกส์ ลวดและเคเบิล อุปกรณ์ไฟฟ้า สัตว์ปีกสด แช่เย็น หรือแช่แข็ง และยางธรรมชาติ
ส่วนสินค้านำเข้าสำคัญของไทยจากญี่ปุ่น อาทิ ชิ้นส่วนยานยนต์และส่วนประกอบ วงจรอิเล็กทรอนิกส์ เหล็กแผ่นรีดร้อน อุปกรณ์ไฟฟ้า (วงจรไฟฟ้า) ทองแดงบริสุทธิ์ ทองคำ เครื่องสูบลมหรือสูบสูญญากาศ ผลิตภัณฑ์เหล็ก
ทั้งนี้จากสถิติการลงทุนญี่ปุ่นในไทยพบว่าข้อมูลจากสถิติกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ญี่ปุ่นมีการลงทุนรวมในประเทศไทยมากเป็นอันดับ 1 มีมูลค่าสูงถึง 27,777.78 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ970,000 ล้านบาท ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนการลงทุน 1 ใน 4 ของการลงทุนจากต่างประเทศทั้งหมดของไทย และมีบริษัทญี่ปุ่นในไทยกว่า 6,000 บริษัท จากทั้งสิ้น 14,846 บริษัทในอาเซียน
โดยธุรกิจที่ญี่ปุ่นลงทุนมากที่สุด 5 อันดับแรก ได้แก่ กิจกรรมของบริษัทโฮลดิ้งที่ไม่ได้ลงทุนในธุรกิจการเงินเป็นหลัก ธนาคารพาณิชย์ การผลิตเหล็กและเหล็กกล้าขั้นมูลฐานอื่น ๆ ซึ่งมิได้จัดประเภทไว้ในที่อื่น การผลิตชิ้นส่วนและอุปกรณ์เสริมอื่น ๆ สำหรับยานยนต์ ซึ่งมิได้จัดประเภทไว้ในที่อื่น และ การผลิตส่วนประกอบอิเล็กทรอนิกส์อื่น ๆ ซึ่งมิได้จัดประเภทไว้ในที่อื่น
ขณะที่ส่งออกในเดือนมกราคม ไปยังตลาดญี่ปุ่น ยังคงติดลบที่ 9.2% ถือว่าเป็นการติดลบต่อเนื่อง 5 เดือนสินค้าสำคัญที่หดตัว ได้แก่ เคมีภัณฑ์ ไก่แปรรูป และทองแดง เป็นต้น สินค้าสำคัญที่ขยายตัว ได้แก่ แผงวงจรไฟฟ้า รถจักรยานยนต์และส่วนประกอบ และรถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ เป็นต้น