นายจิรุตม์ วิศาลจิตร อธิบดีกรมการขนส่งทางบก (ขบ.) เปิดเผยภายหลังร่วมลงนามในสัญญาร่วมลงทุน (PPP) โครงการศูนย์การขนส่งชายแดน จ.นครพนม กับบริษัท เอสเอซีแอล จำกัด วันนี้ (5 เม.ย. 2566) ว่า สำหรับการลงนามในวันนี้ เป็นไปตามที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเมื่อวันที่ 21 ก.พ. 2566 เห็นชอบผลการคัดเลือกเอกชน และร่างสัญญาร่วมลงทุนของโครงการตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ
ทั้งนี้โครงการดังกล่าว เป็นการดำเนินการตามขั้นตอนพระราชบัญญัติการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน พ.ศ.2562 โดยบริษัท เอสเอซีแอล จำกัด เป็นนิติบุคคลใหม่ที่ "บริษัท สินธนโชติ จำกัด" ผู้ผ่านการประเมินสูงสุดของโครงการ จัดตั้งขึ้นตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ในเอกสารข้อเสนอการร่วมลงทุน เพื่อเข้าเป็นคู่สัญญาร่วมลงทุนกับ ขบ. และเพื่อดำเนินงานโครงการศูนย์การขนส่งชายแดน จ.นครพนม เป็นการเฉพาะ
นายจิรุตม์ กล่าวต่อว่า การร่วมลงทุนโครงการศูนย์การขนส่งชายแดน จ.นครพนม วงเงิน 1,068.36 ล้านบาท โดย ขบ. ลงทุนค่าที่ดิน และค่าก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานส่วนกลางฯ วงเงินรวม 766.07 ล้านบาท และเอกชนลงทุนค่าก่อสร้างองค์ประกอบอาคารที่ก่อให้เกิดรายได้ รงมถึงเครื่องมือ อุปกรณ์ งานระบบฯ วงเงินรวม 302.29 ล้านบาท ทั้งนี้ งบประมาณที่ใช้ในการดำเนินการในครั้งนี้ สามารถประหยัดงบประมาณดำเนินการได้ 292.64 ล้านบาท ลดลงจากกรอบวงเงินที่ขออนุมัติ ครม. จำนวน 1,361 ล้านบาท
สำหรับโครงการดังกล่าว ถือเป็นโครงการ PPP โครงการแรกที่ ขบ. เปิดโอกาสให้ภาคเอกชนที่เป็นมืออาชีพ มีความรู้ความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ในอุตสาหกรรมการขนส่งและโลจิสติกส์ เข้ามามีส่วนร่วมในการลงทุนและบริหารจัดการสถานีขนส่งสินค้า (Truck Terminal) ซึ่งจะช่วยลดภาระทางด้านงบประมาณในการลงทุนและบุคลากรของภาครัฐและช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการให้บริการโครงสร้างพื้นฐานด้านการขนส่งสินค้าทางถนน
ทั้งนี้ภายใต้สัญญาร่วมลงทุนฯ บริษัท เอสเอซีแอล จำกัด จะเข้ามารับผิดชอบลงทุนค่าก่อสร้างในองค์ประกอบอาคารที่ก่อให้เกิดรายได้ อาทิ อาคารรวบรวมและกระจายสินค้า อาคารคลังสินค้าและอาคารซ่อมบำรุง รวมถึงเครื่องมืออุปกรณ์ อาทิ Gantry Crane และรถ Forkift และเริ่มดำเนินการได้ในช่วง ต.ค.-ธ.ค. 2566 ภายหลัง ขบ. ปรับสภาพพื้นที่ให้พร้อมสำหรับการก่อสร้าง
นอกจากนี้ภาคเอกชนยังมีหน้าที่รับผิดชอบในส่วนดำเนินงานและบำรุงรักษาโครงการ (O&M) ในส่วนอาคารและพื้นที่ใช้สอยในการรับผิดชอบของเอกชนและโครงสร้างพื้นฐานส่วนกลางตามรอบระยะเวลา รวมทั้งเป็นผู้รับความเสี่ยงทางด้านรายได้ ตามรูปแบบการร่วมลงทุนแบบ PPP Net Cost และจ่ายค่าสัมปทานให้แก่ภาครัฐ เป็นเงินรวมกว่า 298 ล้านบาท ตลอดระยะเวลา 30 ปี นับจากปีเปิดให้บริการ (ปี 2568-2597)
นายจิรุตม์ กล่าวต่อว่า โครงการศูนย์การขนส่งชายแดน จ.นครพนม พื้นที่ 121 ไร่ ปัจจุบัน ขบ. อยู่ระหว่างดำเนินการก่อสร้างในส่วนที่ภาครัฐเป็นผู้รับผิดชอบ ได้แก่ โครงสร้างพื้นฐานส่วนกลางและอาคารที่ภาครัฐใช้ประโยชน์ มีความคืบหน้า 5% คาดว่าจะแล้วเสร็จช่วงปลายปี 2567 และมีแผนเปิดให้บริการปี 2568 ทั้งนี้ สามารถรองรับปริมาณสินค้าสูงสุด 164,000 ทีอียู ทำหน้าที่เป็นโครงสร้างพื้นฐานและสิ่งอำนวยความสะดวกด้านการขนส่งและโลจิสติกส์
ด้านการรองรับการขนส่งสินค้าถนนระหว่างประเทศบนเส้นทางสาย R12 เชื่อมต่อกาขนส่งระหว่างไทย-สปป.ลาว -เวียดนาม-จีน ผ่านด่านพรมแดนนครพนม และสะพานมิตรภาพไทย-ลาว แห่งที่ 3 (นครพนม-คำม่วน) ซึ่งจัดเป็นเส้นทางเศรษฐกิจในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขงที่มีความสำคัญและมีมูลค่าการค้าการลงทุนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
นอกจากนี้ยังรองรับการเปลี่ยนแบบการขนส่ง (Modal Shift) ระหว่างทางถนนกับทางราง ผ่านแนวการพัฒนารถไฟทางคู่ สายบ้านของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ในอนาคต ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจของ จ.นครพนม และพื้นที่ใกล้เคียง ผลักดัน จ.นครพนมให้เป็นศูนย์กลางทางด้านโลจิสติกส์ของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (อีสาน) ตอนบน
นายบวรสินธุ์ ตันธุวนิตย์ กรรมการบริษัท เอสเอซีแอล จำกัด กล่าวว่า บริษัทฯ เล็งเห็นเส้นทางการขนส่งสินค้าบนถนนสาย R12 ผ่านด่านพรมแดนนครพนม ถือเป็นเส้นทางยุทธศาสตร์ที่มีศักยภาพสูง คาดการณ์เปิดให้บริการปีแรกจะมีผู้ใช้บริการประมาณ 200-300 คันต่อวัน
โดยยึดจากข้อมูลการขนส่งสินค้าในปัจจุบันในพื้นที่ จ.นครพนม ที่ส่งออกไป สปป.ลาว เวียดนาม และจีน หลักๆ จะเป็นขนส่งผลไม้ สินค้าอุปโภคบริโภค และปูน อนาคตคาดว่าการใช้บริการศูนย์ฯ จะเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โตประมาณ 3-5% ของทุกปี เนื่องจากจะมีการขนส่งสินค้าเกี่ยวกับธุรกิจอีคอมเมิร์ซที่ขนส่งที่รวดเร็วถึงมือภายใน 3 วัน
นอกจากนี้บริษัทฯ จะได้นำประสบการณ์ในภาคธุรกิจการขนส่งโดยเฉพาะการบริหารจัดการสิ่งอำนวยความสะดวกด้านโลจิสติกส์ มาใช้เพิ่มประสิทธิภาพในการให้บริการโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐ รวมทั้งได้มีการวางแผนและปรับกลยุทธ์การให้บริการต่าง ๆ ให้สอดรับสถานการณ์การขนส่งในปัจจุบัน เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อผู้ใช้บริการและประเทศไทย ขณะเดียวกันโครงการนี้จะสามารถสร้างอาชีพให้กับคนในพื้นที่ได้ ด้วยการจ้างงานหลากหลายรูปแบบ ซึ่งเป็นการยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนได้อีกทางหนึ่ง