นายบุณย์ธีร์ พานิชประไพ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยภายหลัง สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า กระทรวงพาณิชย์ แถลงดัชนีเศรษฐกิจการค้า โดยอัตราเงินเฟ้อทั่วไป สูงขึ้น2.67% (YoY) ชะลอตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 4 และต่ำสุดในรอบ 16 เดือน สาเหตุสำคัญมาจากการลดลงของราคาน้ำมันเชื้อเพลิง และสินค้าในหมวดอาหารที่ราคาชะลอตัว ชี้ให้เห็นว่าสถานการณ์เงินเฟ้อของไทยในปีนี้คลี่คลายอย่างต่อเนื่อง
อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเดือนเมษายน 2566 ที่สูงขึ้น 2.67% (YoY) เป็นการสูงขึ้นในอัตราที่ชะลอตัว เนื่องจากราคาน้ำมันเชื้อเพลิงในกลุ่มแก๊สโซฮอล์และเบนซินลดลงค่อนข้างมากเมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีที่ผ่านมา ส่งผลให้ดัชนีราคาหมวดอื่น ๆ ที่ไม่ใช่อาหารและเครื่องดื่ม สูงขึ้นเพียง1.39% (YoY)
ประกอบกับสินค้าในหมวดอาหารและเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ สูงขึ้น 4.53% (YoY) ชะลอตัวจาก5.22% ในเดือนมีนาคม 2566 ตามราคาสินค้าอาหารที่ชะลอตัวเกือบทุกกลุ่มสินค้า ทั้งเนื้อสัตว์ ไข่และผลิตภัณฑ์นม ผักและผลไม้ และอาหารสำเร็จรูป
ส่วนเงินเฟ้อพื้นฐาน เมื่อหักอาหารสดและพลังงานออก สูงขึ้น1.66% (YoY) ชะลอตัวต่อเนื่องจากเดือนมีนาคม 2566 ที่สูงขึ้น1.75% (YoY) สำหรับดัชนีราคาผู้บริโภคในเดือนนี้ เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า สูงขึ้นเล็กน้อย 0.19% (MoM) และเฉลี่ย 4 เดือนแรก (ม.ค. – เม.ย.) ปี 2566 เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน สูงขึ้น3.58% (AoA)
เมื่อพิจารณาเงินเฟ้อของไทยเทียบกับต่างประเทศ (ข้อมูลล่าสุดเดือนมีนาคม 2566) พบว่า เงินเฟ้อไทยต่ำเป็นอันดับที่ 14 จาก 133 เขตเศรษฐกิจที่มีการประกาศตัวเลข ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับที่ดีกว่าหลายเขตเศรษฐกิจ อาทิ สหรัฐอเมริกา อิตาลี สหราชอาณาจักร เม็กซิโก อินเดีย ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ และอยู่ระดับต่ำที่สุดในอาเซียน จาก 7 ประเทศที่ประกาศตัวเลข ทั้ง สปป.ลาว ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ อินโดนีเซีย มาเลเซีย และเวียดนาม
ทั้งนี้ แนวโน้มอัตราเงินเฟ้อในช่วงที่เหลือของปี 2566 คาดว่าจะชะลอตัวลงค่อนข้างมาก โดยสาเหตุสำคัญมาจากราคาน้ำมันเชื้อเพลิงที่อยู่ในระดับต่ำกว่าปีที่ผ่านมา ขณะที่ราคาสินค้าและบริการบางรายการชะลอตัว และบางรายการเริ่มทรงตัว อย่างไรก็ตาม ปัญหาภัยแล้งจะส่งผลกระทบต่อปริมาณและราคาสินค้าเกษตร และอุปสงค์ที่เพิ่มขึ้นจากภาคการท่องเที่ยว อาจทำให้เงินเฟ้อขยายตัวได้ ซึ่งกระทรวงพาณิชย์จะกำกับดูแลปริมาณสินค้าให้มีเพียงพอในราคาที่เหมาะสม และสะท้อนต้นทุนที่แท้จริง นอกจากนี้ ยังมีแผนจัดกิจกรรมลดค่าครองชีพอย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุดได้จัดโครงการพาณิชย์ลดราคา! ช่วยประชาชน Lot 24 “Back to School” ลดราคาเครื่องแบบนักเรียนและอุปกรณ์การเรียน เพื่อลดค่าใช้จ่ายให้กับผู้ปกครอง
ในช่วงที่ผ่านมาเกิดวิกฤตการณ์หลายอย่าง อาทิ ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ วิกฤติพลังงาน และการแพร่ระบาดของโควิด-19 ส่งผลต่อต้นทุนการผลิต ซึ่งกระทรวงพาณิชย์ หน่วยงานภาครัฐอื่น ๆ และภาคเอกชน ได้ประสานความร่วมมือทำงานอย่างเต็มที่และต่อเนื่อง เพื่อดูแลและแก้ไขปัญหาอย่างใกล้ชิด โดยคำนึงถึงผลประโยชน์ร่วมกันทั้งผู้ผลิตและผู้บริโภคจนผ่านพ้นวิกฤตการณ์ต่าง ๆ มาได้ นอกจากนี้ ยังได้ส่งเสริมและสร้างขีดความสามารถทางการแข่งขันให้กับผู้ค้า ตลอดจนจัดหาช่องทางการตลาดให้มากขึ้น ตามภารกิจของกระทรวงฯ เพื่อให้ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดี และภาคธุรกิจดำเนินธุรกิจได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน ท่ามกลางเศรษฐกิจโลกที่มีความไม่แน่นอน
กระทรวงพาณิชย์คาดการณ์อัตราเงินเฟ้อทั่วไป ปี 2566 อยู่ที่ระหว่าง 1.7 – 2.7% (ค่ากลาง 2.2) และหากสถานการณ์เปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญจะมีการทบทวนอีกครั้งดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคโดยรวม เดือนเมษายน 2566 ปรับเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 53.5 จากระดับ 52.3 ในเดือนก่อนหน้า โดยอยู่ในช่วงเชื่อมั่นติดต่อกันเป็นเดือนที่ 5 (นับตั้งแต่เดือนธันวาคม 2565) และสูงสุดในรอบ 52 เดือน (นับตั้งแต่เดือนมกราคม 2562) เป็นการปรับเพิ่มขึ้นทั้งดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคในปัจจุบันและในอนาคต (3 เดือนข้างหน้า)
โดยมีสาเหตุจาก 1. การฟื้นตัวของเศรษฐกิจในประเทศ ที่ได้รับแรงสนับสนุนจากช่วงเทศกาลสงกรานต์ ซึ่งมีนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติเดินทางมาท่องเที่ยวสถานที่ต่าง ๆ ที่จัดงานเป็นจำนวนมาก 2.ใกล้เข้าสู่วันเลือกตั้ง (14 พฤษภาคม 2566) ทำให้ประชาชนคาดหวังว่าจะมีส่วนร่วมในการกำหนดทิศทางการเมืองของประเทศ และ3.ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงประเภทดีเซลปรับลดลง อย่างไรก็ตาม ค่าไฟฟ้าที่ประชาชนจ่ายมากขึ้นตามจำนวนหน่วยที่ใช้ในช่วงฤดูร้อน ทำให้ประชาชนเกิดความกังวลกับภาระค่าครองชีพที่สูงขึ้น มีส่วนทำให้ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคโดยรวมปรับตัวดีขึ้นแบบค่อยเป็นค่อยไป