วันที่ 9 พ.ค.2566 ถือว่าเป็นวันที่ประเทศไทยต้องจารึกไว้ในประวัติศาสตร์ทางการค้าและการลงทุนระหว่างประเทศไทยกับสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์(ยูเออี) ที่มีการนับหนึ่งเปิดเจรจาจัดทำ "เอฟทีเอระหว่างไทยกับสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์" ทุกอย่างดำเนินการอย่างรวดเร็วเป็นอย่างยิ่ง ทำไม?ประเทศไทยต้องทำเอฟทีเอกับกลุ่มประเทศแถบตะวันอออกกลาง ต้องบอกว่า “สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์”เป็น ประเทศคู่ค้าสำคัญของไทยในภูมิภาคตะวันออกกลางและแอฟริกาตอนเหนือ (MENA) ที่มีกำลังการซื้อสูง โดยในปี 2565 สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์เป็นคู่ค้าอันดับที่ 6 ของไทยในโลกและอันดับหนึ่งของไทยใน MENA
นอกจากนี้ "สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์" เป็นประเทศที่มีทำเลที่ตั้งเชิงยุทธศาสตร์ที่เอื้ออำนวยต่อการเป็นศูนย์กลางโลจิสติกส์ สามารถกระจายสินค้าไทยต่อไปยังประเทศอื่นๆ ในตะวันออกกลาง และแอฟริกาได้จะเห็นได้ว่าในปี 2565 การค้าระหว่างไทยกับสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์มูลค่ารวม 731,007.04 ล้านบาท (+90.80%)
โดยเป็นการส่งออก 118,924.23 ล้านบาท (+34.64%) และเป็นการนำเข้า 612,082.81 ล้านบาท (+107.63%) ท้ังนี้ ใน 3 เดือนแรกของปี 2566 (ม.ค. - มี.ค.) การค้าสองฝ่ายมีมูลค่ารวม 159,964.89 ล้านบาท (+10.56%) เป็นการส่งออก 28,882.34 ล้านบาท (+14%) และเป็นการนำเข้า 131,082.54 ล้านบาท (+9.83%)
สำหรับ สินค้าส่งออกสำคัญปี 2565 เช่น รถยนต์อุปกรณ์และส่วนประกอบเครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบอัญมณีและเครื่องประดับเครื่องโทรสาร โทรศัพท์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ ไม้และผลิตภัณฑ์ไม้ เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ ผลิตภัณฑ์ยาง เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ อาหาร ทะเลกระป๋องและแปรรูป และผลิตภัณฑ์อะลูมิเนียม
ในขณะที่ สินค้านำเข้าสำคัญ ปี 2565 เช่น น้ำมันดิบ น้ามันสำเร็จรูป ก๊าซธรรมชาติ สินแร่โลหะอื่น ๆ เศษโลหะและผลิตภัณฑ์ เครื่องเพชรพลอย อัญมณี เงิน แท่งและทองคำ เคมีภัณฑ์ เหล็ก เหล็กกล้ าและผลิตภัณฑ์ ผลิตภัณฑ์ ยาสูบ เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ และผลิตภัณฑ์โลหะ
นอกจากนี้ประโยชน์ที่เกิดขึ้นกับประเทศไทย คือ สามารถใช้ยูเออีเป็นประตูส่งสินค้าและบริการไปยังอีก 5 ประเทศ สมาชิกคณะมนตรีความร่วมมือรัฐอ่าวอาหรับหรือ GCC ได้แก่ ซาอุดีอาระเบีย บาห์เรน โอมาน กาตาร์ และคูเวต โดยอัตโนมัติ
ดังนั้นนอกจากนี้จะช่วยเพิ่มตัวเลขการส่งออกที่ไทยจะส่งออกไปยังยูเออีคาดว่าจะสูงขึ้นมาก มูลค่าการค้าปี 2565 ระหว่างไทยกับยูเออีประมาณ 730,000 ล้านบาท ตัวเลขการส่งออกไทยไปยูเออี ปี 2565 มีมูลค่า 119,000 ล้านบาท คาดว่าจากการทำเอฟทีเอแล้วจะเพิ่มมูลค่าการค้าไม่ต่ำกว่า 10% ทันที( 70,0000 ล้านบาท ภายใน 1 ปี) หรืออาจมากกว่านั้น และตั้งเป้าเจรจาจบภายใน6เดือนนับจากนี้เป็นต้นไปคดว่าสิ้นปีน่าจะเจรจาแล้วเสร็จ
ที่สำคัญสินค้าจะได้รับประโยชน์ทันที เช่น อาหาร อาหารทะเลกระป๋อง อาหารทะเลแปรรูป สิ่งทอ เสื้อผ้า เครื่องนุ่งห่ม ผลิตภัณฑ์ยางพารา ผลิตภัณฑ์ยานยนต์ แอร์คอนดิชันเนอร์เครื่องใช้ไฟฟ้าต่างๆ รวมทั้งผลิตภัณฑ์เครื่องหนัง เป็นต้น
ส่วนภาคบริการไทยจะได้ประโยชน์จากการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ ด้านโลจิสติกส์และการขนส่ง ต่อไปในอนาคต นอกจากจะได้แต้มต่อในกลุ่มประเทศตะวันออกกลางอีก 5 ประเทศสมาชิก GCC แล้ว จะถือเป็นเอฟทีเอฉบับแรกของไทยที่ทำกับประเทศในตะวันออกกลาง ถือเป็นฉบับที่ 15 ของไทย กับ 19 ประเทศ และถ้าเอฟทีเอไทยกับสหภาพยุโรปเสร็จสิ้น จะมีผลให้มีเอฟทีเอเพิ่มเป็น 16 ฉบับ กับ 46 ประเทศ โดยถือเป็นเอฟทีเอฉบับก่อนการเลือกตั้งและกระทรวงพาณิชย์ช่วยกันทำงานหนัก เพื่อประโยชน์ของประเทศ ทำกันจนนาทีสุดท้ายเพื่อประโยชน์ของการค้าการลงทุนเศรษฐกิจของไทย