เลือกตั้งปี66 เงินสะพัด5-6หมื่นล้านสูงสุดตั้งแต่มีการเลือกตั้ง

11 พ.ค. 2566 | 17:45 น.

"เลือกตั้งปี66" เงินสะพัด5-6หมื่นล้านสูงสุดตั้งแต่มีการเลือกตั้ง  ลุ้นการเมืองมีเสถียรภาพดึงเศรษฐกิจโตได้4%

นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ เปิดเผยว่า  คาดว่าเม็ดเงินการใช้จ่ายในช่วงหาเสียงเลือกตั้งในทุกเขตเลือกตั้ง จะสะพัดไม่น้อยกว่า 120,000 ล้านบาท จากเดิมที่คาดว่าจะมีเม็ดเงินสะพัดราว 50,000-60,000 ล้านบาท กระตุ้นจีดีพีได้ถึง 0.5-0.7%  ค่าใช้จ่ายเหล่านี้ไม่ใช่แค่หาเสียง แต่ยังรวมถึงกิจกรรมเศรษฐกิจต่างๆ หากแยกประเภทพบว่า ปริมาณธนบัตรชนิดราคา 1,000 บาท มียอดหมุนเวียนเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.9 ขณะที่ปริมาณธนบัตรชนิดราคา 500 บาท ลดลด14.2% ซึ่งปริมาณธนบัตรที่หมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจเพิ่มขึ้น

นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ

ส่วนบรรยากาศการหาเสียงเลือกตั้งที่คึกคักทั่วประเทศ ส่งผลให้เกิดเม็ดเงินหมุนเวียนในประเทศมากขึ้นและกิจกรรมทางเศรษฐกิจในภูมิภาคต่างๆ ปรับตัวดีขึ้น และหากการเมืองมีเสถียรภาพสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้เร็วและเป็นที่ยอมรับ มีการดำเนินนโยบายทางเศรษฐกิจ พิจารณางบประมาณได้ตามกระบวนการ จะส่งผลดีกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจประเทศ และความเชื่อมั่นของการลงทุน อาจทำให้เศรษฐกิจในปีนี้ขยายตัวได้3.5-4%

“เลือกตั้งปีนี้มีเงินจะสะพัดไปแล้ว2-3หมื่นล้านและจะยังสะพัดอย่างต่อเนื่อง ซึ่งปีนี้ถือว่ามีเงินสะพัดมากที่สุดนับตั้งแต่มีการเลือกตั้ง ส่วนจะได้รัฐบาลใหม่ นายกใหม่ คณะรัฐมนตรีใหม่ตามขั้นตอนน่าจะแล้วเสร็จประมาณส.ค.และแถลงนโยบายต่อสภาน่าจะก.ค.  ส่วนรัฐบาลจะมีความเสถียรภาพหรือไม่ต้องดูผลการเลือกตั้งในวันที่14พ.ค.นี้ แต่มั่นใจว่าในไตรมาส3 เศรษฐกิจไทยจะค่อยๆฟื้นตัวและไตรมาส4จะโตมากขึ้นจากปัจจัยเศรษฐกิจโลกที่ค่อยๆฟื้นตัว ภาคการท่องเที่ยว โดยม.หอการค้ายังคงประเมินเศรษฐกิจไทยขยายตัวที่3.5-4%”