นายรณรงค์ พูลพิพัฒน์ อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ เปิดเผยการใช้สิทธิประโยชน์ทางการค้าสำหรับการส่งออกภายใต้ความตกลงการค้าเสรี (FTA) ในเดือนมกราคม – พฤษภาคม ปี 2566 จำนวน 12 ฉบับ มีมูลค่ารวม 33,455.12 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ คิดเป็นสัดส่วนการใช้สิทธิฯ สูงถึง 76.70% สำหรับสินค้าผลไม้ไทย
เช่น ทุเรียน ฝรั่ง มะม่วง และมังคุด เป็นต้น นับเป็นสินค้าที่ได้รับความนิยมในจีนเป็นอย่างมากโดยเฉพาะในช่วงฤดูร้อน อีกทั้งยังมีมูลค่าการใช้สิทธิฯ ส่งออกสูงภายใต้กรอบความตกลงการค้าเสรีอาเซียน-จีน (ACFTA) มากกว่า 3,300 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
โดยสินค้ามะพร้าวทั้งกะลาก็เป็นหนึ่งในสินค้าผลไม้จากไทยที่มีการขยายตัวสูงในจีน โดยในช่วงกลางไตรมาส 2 ของปี 2566 สินค้ามะพร้าวทั้งกะลามีมูลค่าการใช้สิทธิฯ ส่งออกไปจีน (ACFTA) สูงถึง 187.91 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ขยายตัวเพิ่มสูง 26.96% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า
โดยจีนมีการนำเข้ามะพร้าวทั้งกะลาจากไทยเป็นอันดับ 1 คิดเป็นสัดส่วนปริมาณการนำเข้าสูงถึง 54.83% และมีมูลค่าส่วนแบ่งตลาดสูงถึง 80.02% ของการนำเข้าสินค้ามะพร้าวทั้งกะลาทั้งหมด ซึ่งการนำเข้าโดยใช้สิทธิ ACFTA ทำให้ไทยได้รับการยกเว้นภาษีนำเข้าจีนเหลือ 0% จากเดิมที่จะต้องเสียภาษี 60% (MFN Rate)
สำหรับกรอบความตกลง FTA ที่มีมูลค่าการใช้สิทธิฯ สูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่อันดับ 1 ความตกลงเขตการค้าเสรีอาเซียน (มูลค่า 12,164.80 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ) มีสัดส่วนการใช้สิทธิฯ 74.48% โดยเป็นการใช้สิทธิส่งออกไปอินโดนีเซียสูงสุด มูลค่า 3,263.85 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ มาเลเซีย มูลค่า 2,919.96 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เวียดนาม มูลค่า 2,705.48 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และฟิลิปปินส์ มูลค่า 2,027.32 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ สำหรับสินค้าสำคัญที่มีมูลค่าการใช้สิทธิฯ สูง และมีการขยายตัวของการใช้สิทธิฯ อาทิ ยานยนต์สำหรับขนส่งของ (น้ำหนักไม่เกิน 5 ตัน) น้ำตาล เครื่องปรับอากาศ น้ำมันปิโตรเลียมและน้ำมันจากแร่บิทูมินัส และรถยนต์เพื่อขนส่งบุคคล (1,500 - 3,000 cc) เป็นต้น
อันดับ 2 ความตกลงเขตการค้าเสรีอาเซียน-จีน (ACFTA) (มูลค่า 10,409.99 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ) มีสัดส่วนการใช้สิทธิฯ 97.99% โดยสินค้าสำคัญที่มีมูลค่าการใช้สิทธิฯ สูง และมีการขยายตัวของการใช้สิทธิฯ อาทิ ทุเรียนสด ผลิตภัณฑ์ยางสังเคราะห์ผสมยางธรรมชาติ มันสำปะหลัง ผลไม้สด (ฝรั่ง มะม่วง มังคุด) สตาร์ชทำจากมันสำปะหลัง และน้ำตาลอื่นๆ ที่บริสุทธิ์ในทางเคมี เป็นต้น
อันดับ 3 ความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจไทย-ญี่ปุ่น (JTEPA) (มูลค่า 2,739.51 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ) มีสัดส่วนการใช้สิทธิฯ 71.57% โดยสินค้าสำคัญที่มีมูลค่าการใช้สิทธิฯ สูง และมีการขยายตัวของการใช้สิทธิฯ อาทิ เนื้อไก่และเครื่องในไก่ปรุงแต่ง เนื้อไก่แช่แข็ง เดกซ์ทรินและโมดิไฟด์สตาร์ช น้ำมันเบาและสิ่งปรุงแต่ง กุ้งปรุงแต่ง กระสอบและถุงทำด้วยโพลิเมอร์ของเอทิลีน ลวดและเคเบิลทำด้วยทองแดง เป็นต้น
อันดับ 4 ความตกลงการค้าเสรีไทย-ออสเตรเลีย (TAFTA) (มูลค่า 2,304.38 ล้านดอลาร์สหรัฐฯ) มีสัดส่วนการใช้สิทธิฯ 63.24% โดยสินค้าสำคัญที่มีมูลค่าการใช้สิทธิฯ สูง และมีการขยายตัวของการใช้สิทธิฯ อาทิ รถยนต์และยานยนต์อื่นๆ (ที่มีเครื่องดีเซล หรือกึ่งดีเซล) รถยนต์ขนส่งบุคคลขนาด 2,500 cc ขึ้นไปและขนาด 1,000 - 1,500 cc ปลาทูน่าปรุงแต่ง และโพลิเอทิลีนเป็นต้น
อันดับ 5 ความตกลงการค้าเสรีอาเซียน-อินเดีย (AIFTA) (มูลค่า 2,157.83 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ) มีสัดส่วนการใช้สิทธิฯ 65.56% โดยสินค้าสำคัญที่มีมูลค่าการใช้สิทธิฯ สูง และมีการขยายตัวของการใช้สิทธิฯ อาทิ ลวดทองแดง สารประกอบออร์แกโน-อินออร์แกนิก เครื่องรับสำหรับวิทยุกระจายเสียง ส่วนประกอบของเครื่องปรับอากาศ และโพลิ (ไวนิลคลอไรด์) เป็นต้น
สำหรับความตกลง RCEP ในเดือนมกราคม – เมษายน 2566 มีการส่งออกไปยัง 10 ประเทศ คือ ญี่ปุ่น จีน เกาหลีใต้ ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ สิงคโปร์ มาเลเซีย เวียดนาม อินโดนีเซีย และเมียนมา มีมูลค่าการใช้สิทธิฯ รวม 570.34 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ขยายตัว 81.50% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปีก่อนหน้า โดยมีสินค้าส่งออกสำคัญภายใต้ความตกลง RCEP อาทิ น้ำมันหล่อลื่น เครื่องดื่มชูกำลัง ปลาทูน่ากระป๋อง มันสำปะหลังเส้น หัวเทียน เลนส์ ปริซึม และรถจักรยานยนต์ (50 – 250 cc) เป็นต้น
“การใช้สิทธิประโยชน์ทางการค้าภายใต้ความตกลงการค้าเสรี (FTA) ต่างๆ เป็นกุญแจสำคัญที่จะช่วยลดอุปสรรคทางการค้าทางด้านภาษี อีกทั้งเป็นการเพิ่มศักยภาพ ขีดความสามารถให้ผู้ส่งออกไทยสามารถแข่งขันในตลาดโลกได้ แต่ สินค้าที่จะส่งออกจะต้องมีมาตรฐาน คุณภาพดี และเป็นไปตามกฎว่าด้วยถิ่นกำเนิดเพื่อให้ได้รับสิทธิพิเศษทางภาษี”