นายรวีภัทร์ ผุดผ่อง ผู้อำนวยการฝ่ายความร่วมมืออุตสาหกรรมสมัยใหม่ EECi สำนักงานใหญ่เขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (สวทช.) กล่าวว่า ปัจจุบันทั่วโลกต่างกำลังตื่นตัวต่อการปฏิวัติสู่อุตสาหกรรม 4.0 (Industry 4.0) ที่มีการนำเทคโนโลยีดิจิทัลและเทคโนโลยีสมัยใหม่เข้ามาประยุกต์ใช้ในสายการผลิตเพื่อยกระดับสินค้า เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ
ขณะที่อุตสาหกรรมส่วนใหญ่ของไทยยังอยู่ที่ระดับ 2–3 เท่านั้น ซึ่งหากไม่สามารถปรับตัวได้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว อาจทำให้สูญเสียความสามารถในการแข่งขัน ส่งผลกระทบต่อภาพรวมของเศรษฐกิจ
"ดังนั้นการยกระดับภาคการผลิตสู่อุตสาหกรรม 4.0 จึงเป็นโจทย์ใหญ่ที่เป็นความท้าทายต่อภาคอุตสาหกรรม ภาคธุรกิจ ภาคการขนส่งและโลจิสติกส์ ภาคแรงงาน ตลอดจนผู้ประกอบการทั้งขนาดเล็กและขนาดใหญ่ อีกทั้งยังสอดรับกับเป้าหมายสำคัญของประเทศและสอดคล้องกับการพัฒนาตามแนวทาง Thailand 4.0"
ทั้งนี้การยกระดับภาคอุตสาหกรรมไทยให้เปลี่ยนผ่านไปสู่อุตสาหกรรม 4.0 ได้สำเร็จและยั่งยืน จำเป็นต้องทำอย่างเป็นระบบ มีแบบแผน และเป็นขั้นเป็นตอน สวทช. ร่วมมือกับหน่วยงานพันธมิตรทั้งภาครัฐและเอกชนจัดทำ ‘Industry 4.0 Platform’ แพลตฟอร์มที่รวบรวมบริการและกิจกรรมสนับสนุนการยกระดับสู่อุตสาหกรรม 4.0 ด้วยบริการแบบครบวงจร มุ่งเน้นเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันของผู้ประกอบการ เพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต ลดต้นทุนและของเสีย เพิ่มคุณภาพของการผลิตสินค้า ปรับปรุงกระบวนการให้สอดคล้องกับมาตรฐานต่างๆ และลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นหนึ่งใน NSTDA Core Business ของ สวทช. ที่มุ่งสร้างกระบวนการวิจัยและกลไกที่จะนำไปสู่การใช้ประโยชน์จริง เพื่อแก้ปัญหาที่เป็นโจทย์สำคัญเร่งด่วนของประเทศ
นายรวีภัทร์ กล่าวต่อว่า การยกระดับภาคการผลิตสู่อุตสาหกรรม 4.0 ของ Industry 4.0 Platform ประกอบด้วย 3 ขั้นตอนหลัก อันดับแรกคือการประเมินความพร้อมของสถานประกอบการโดยผู้เชี่ยวชาญว่ามีข้อจำกัดหรือปัญหาในเรื่องใด เพื่อหาแนวทางการพัฒนาอย่างเหมาะสมกับบริบทขององค์กร เมื่อทราบผลประเมินแล้ว
ขณะเดียวกันถัดมาคือการวางแผนจัดทำแผนปฏิบัติการ (Transformation roadmap) ที่มีรายละเอียดในการดำเนินงานอย่างชัดเจน และสุดท้ายคือการติดตั้งระบบและอุปกรณ์ในโรงงาน มีการนำเทคโนโลยีเข้าไปประยุกต์ใช้งานจริงในโรงงานอุตสาหกรรม ซึ่งกระบวนการทั้งหมดนี้จะดำเนินการผ่านกิจกรรมและบริการภายใต้ Industry 4.0 Platform
“Industry 4.0 Platform มีงานที่สำคัญอยู่ 3 ส่วน ประกอบด้วย
1.i4.0 Maturity คือศูนย์ข้อมูลความพร้อมอุตสาหกรรม 4.0 ของประเทศไทย ซึ่งปัจจุบันมีการพัฒนา Thailand i4.0 Index ดัชนีชี้วัดระดับความพร้อมของอุตสาหกรรม 4.0
2. i4.0 Consulting คือการให้บริการที่ปรึกษาทางด้านเทคนิค โดยผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางในทุกสาขาตามความจำเป็นขององค์กร ให้ข้อเสนอแนะ คำปรึกษา และคำแนะนำด้านการลงทุนและสิทธิประโยชน์ที่พร้อมสนับสนุน รวมถึงบริการวิจัยและพัฒนา บริการถ่ายทอดเทคโนโลยี บริการวิเคราะห์ทดสอบ
3. i4.0 Training การพัฒนาศักยภาพบุคลากรในทุกระดับ เตรียมความพร้อม และพัฒนาทักษะที่จำเป็นต่อการใช้ประโยชน์จากความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ เช่น หลักสูตรสำหรับ System Integrator (SI) หลักสูตร Industry 4.0 สำหรับผู้บริหารระดับสูง
นายรวีภัทร์ กล่าวต่อว่า Industry 4.0 Platform ดำเนินการร่วมกับพันธมิตรทั้งภายในและภายนอก สวทช. อาทิ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สถาบันเครือข่ายและหน่วยงานภายใต้กระทรวงอุตสาหกรรม สถาบันการเงิน สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ศูนย์นวัตกรรมการผลิตยั่งยืน (SMC) เขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EECi) โดยมีกลุ่มเป้าหมายสำคัญ อาทิ ผู้ประกอบการในภาคอุตสาหกรรมธุรกิจขนาดกลางและขนาดใหญ่ รวมถึงองค์กรหรือบุคลากรด้าน System Integration
“สวทช. มีนักวิจัยที่มีความเชี่ยวชาญในหลากหลายสาขาที่เป็นรากฐานสำคัญต่อการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมของประเทศ รวมทั้งยังมีโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญที่เป็นขุมพลังในการพัฒนาศักยภาพทางการแข่งขันของอุตสาหกรรมไทย ยกตัวอย่าง ศูนย์นวัตกรรมการผลิตยั่งยืน (SMC) ซึ่งมีเทคโนโลยีนำร่องการให้บริการแก่ผู้ประกอบการไทยแล้ว เช่น แพลตฟอร์ม IDA (Industrial IoT and Data Analytics Platform) แพลตฟอร์มเชื่อมโยงข้อมูลระบบภายในโรงงานผ่านเซนเซอร์และ IoT เพื่อวิเคราะห์และบริหารจัดการการทำงานของเครื่องจักรอย่างมีประสิทธิภาพ ที่มีบริการพร้อมถ่ายทอดสู่อุตสาหกรรม รวมทั้งยังมีการพัฒนา Autonomous Mobile Robots หรือหุ่นยนต์เคลื่อนที่อัตโนมัติซึ่งสามารถประยุกต์ใช้งานได้หลายด้าน อาทิ การขนถ่ายสินค้า หุ่นยนต์บริการ
สำหรับเป้าหมายของการร่วมกันพัฒนา Industry 4.0 Platform เพื่อช่วยให้ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมมีความรู้ความเข้าใจ และมีแนวทางในการลงทุนยกระดับสู่อุตสาหกรรม 4.0 ได้อย่างคุ้มค่าและมีประสิทธิภาพสูงสุด
อย่างไรก็ตามเป้าหมายดังกล่าวสามารถลงมือดำเนินการยกระดับสถานประกอบการได้ตามลำดับความจำเป็น สอดคล้องกับเป้าหมายทางธุรกิจขององค์กรและสอดคล้องกับบริบทของไทย อีกทั้งข้อมูลที่ได้รับจากการประเมินความพร้อมจะมีการเก็บข้อมูลอย่างเป็นระบบและน่าเชื่อถือ สามารถใช้เป็นฐานในการทำงานร่วมกับหน่วยงานต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อผลักดันอุตสาหกรรมไทยให้เข้าใกล้อุตสาหกรรม 4.0 และพร้อมรองรับอุตสาหกรรมแห่งอนาคต