นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือบีโอไอ (BOI) เปิดเผยว่า หลังเปิดตัววีซ่าพำนักระยะยาว หรือ Long-Term Resident Visa (LTR Visa) อย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 1 กันยายน 2565 โดยในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา (1 ก.ย. 2565 – 31 ส.ค. 2566) มีผู้ยื่นขอ LTR Visa รวม 4,842 ราย โดยชาวต่างชาติ 3 อันดับแรก ได้แก่ ยุโรป 2,179 ราย สหรัฐอเมริกา 810 ราย และจีน 507 ราย แบ่งออกเป็น 5 กลุ่ม ประกอบด้วย
ทั้งนี้ 1 ปีของการดำเนินงาน พบว่า ผู้ยื่นขอใช้สิทธิตามมาตรการ LTR Visa ในกลุ่มผู้เชี่ยวชาญและผู้บริหารระดับสูงส่วนใหญ่มาจากองค์กรชั้นนำระดับโลก ที่มีการตั้งสำนักงานในประเทศไทย เช่น บริษัท ซีเกท เทคโนโลยี (ประเทศไทย) จำกัด ,บริษัท ไอเอชไอ พาวเวอร์ ซิสเต็ม (ประเทศไทย) จำกัด ,บริษัท โรเบิร์ต บ๊อช ออโตโมทีฟ เทคโนโลยีส์ (ประเทศไทย) จำกัด ,บริษัท มูราตะ อิเล็กทรอนิกส์ (ประเทศไทย) จำกัด
,บริษัท เดลต้า อีเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด มหาชน ,บริษัท ดูคาติ มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด และบริษัท นิวลี่ เว็ดส์ ฟู้ดส์ (ประเทศไทย) จำกัด รวมถึงบริษัทไทยที่ต้องการบุคลากรทักษะสูงจากต่างประเทศ เช่น บริษัท เอสซีบี เดต้า เอกซ์ จำกัด (SCB DataX) เป็นต้น ซึ่งบีโอไอประเมินว่าบุคลากรที่ยื่นขอ LTR Visa จะมีการใช้จ่ายราว 1 ล้านบาทต่อคนต่อปี ปัจจุบันมีผู้ยื่นขอวีซ่ากว่า 4,000 ราย คาดว่าจะก่อให้เกิดมูลค่าทางเศรษฐกิจไม่ต่ำกว่า 4,000 ล้านบาท
สำหรับ LTR Visa เป็นหนึ่งในมาตรการสำคัญ ที่สามารถดึงดูดชาวต่างชาติที่มีศักยภาพ โดยเฉพาะกลุ่มพำนักระยะยาว การอำนวยความสะดวกให้กับชาวต่างชาติที่มีศักยภาพสูงเข้ามาทำงานในประเทศไทย จะช่วยกระตุ้นการใช้จ่ายและการลงทุนภายในประเทศได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมเป้าหมายใหม่ ๆ ที่จะก่อให้เกิดการถ่ายทอดองค์ความรู้ ยกระดับการพัฒนาศักยภาพแรงงานในประเทศไทย ควบคู่ไปกับมาตรการส่งเสริมการลงทุน
ซึ่งบีโอไอจะดำเนินการในเชิงรุก เพื่อสนับสนุนและสร้างบรรยากาศ รวมถึงระบบนิเวศที่ดีต่อการลงทุนในไทย เช่น การอำนวยความสะดวก แก้ไขปัญหาและอุปสรรคในการทำธุรกิจ การพัฒนากำลังคนรองรับอุตสาหกรรมเป้าหมาย เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยไปสู่เศรษฐกิจใหม่ที่เติบโตอย่างยั่งยืน
อย่างไรก็ดี LTR Visa นอกจากเป็นเครื่องมือ ในการกระตุ้นการฟื้นตัวของเศรษฐกิจได้อย่างรวดเร็วแล้ว ในระยะยาวยังเป็นเครื่องมือในการสร้างศักยภาพและความพร้อมของประเทศไทยในการเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจของภูมิภาค ที่มีความพร้อมทั้งโครงสร้างพื้นฐาน สิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ตลอดจนการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันด้วยบุคลากรที่มีคุณภาพ และความได้เปรียบด้านสังคม วัฒนธรรม ที่มีเอกลักษณ์โดดเด่น ที่ทำให้ใครก็ต้องการเข้ามาลงทุนในประเทศไทย
จากรายงาน Expat Insider 2023 ที่จัดทำโดยเว็บไซต์ InterNations ซึ่งมีเครือข่าย Expat เป็นสมาชิกกว่า 5 ล้านคนทั่วโลก จัดให้ไทยอยู่ในอันดับ 6 ของประเทศที่เป็นจุดหมายปลายทางที่น่าอยู่และเหมาะให้ชาวต่างชาติมาทำงานมากที่สุดในโลก จากทั้งหมด 53 ประเทศ ขยับจากปี 2022 ที่อยู่อันดับ 8 และปี 2021 อยู่ในอันดับ 12
รายงานฉบับดังกล่าว ระบุด้วยว่า ประเทศไทยมีระดับความสุขของการทำงานของ Expats ถึง 86% ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลก อยู่ที่ 72% ดัชนีดังกล่าวสะท้อนถึงความสำเร็จในการดำเนินนโยบายดึงดูดผู้พำนักชาวต่างชาติของไทย